ตรวจข้อสอบ > ชนกานต์ สุขประสงค์ > คณิตศาสตร์เชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ | Mathematics in Medical Science > Part 1 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 6 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


What is the primary goal of using multimodal transportation in logistics as per the discussed research?

To minimize transportation costs and risks while delivering on time.

การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (Multimodal transportation) หมายถึง การใช้หลายรูปแบบการขนส่ง (ทางบก, ทางน้ำ, ทางอากาศ) เพื่อขนส่งสินค้าจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพ เป้าหมายหลัก: คือลดต้นทุน การควบคุมความเสี่ยง และรักษาเวลาการขนส่งให้ตรงเวลา การผสมผสานรูปแบบการขนส่ง: ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการขนส่งสินค้า สามารถเลือกใช้รูปแบบการขนส่งที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงของเส้นทาง ลดความเสี่ยง: การกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาเพียงรูปแบบการขนส่งเดียว

หลักการของโลจิสติกส์ (Logistics Principles): มุ่งเน้นไปที่การจัดการการไหลของสินค้า บริการ และข้อมูล ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบจนถึงผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การบริหารจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management): เป็นกระบวนการวางแผนและบริหารจัดการการไหลของสินค้า บริการ และข้อมูล ตั้งแต่ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ การเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency): การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต การลดความเสี่ยง (Risk Mitigation): การระบุและควบคุมปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของซัพพลายเชน เช่น ความล่าช้าในการขนส่ง ความเสียหายของสินค้า ภาวะขาดแคลน ฯลฯ การอ้างอิง: หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีงานวิจัยและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการขนส่งแบบหลายรูปแบบในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของซัพพลายเชน การศึกษาเชิงประจักษ์: มีการศึกษาเชิงประจักษ์จำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าการใช้การขนส่งแบบหลายรูปแบบสามารถลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ การปฏิบัติจริงขององค์กร: บริษัทโลจิสติกส์และองค์กรต่างๆ ที่ใช้การขนส่งแบบหลายรูปแบบมักจะเน้นย้ำถึงประโยชน์ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


Which method is primarily used for decision-making in multimodal transportation route selection?

A combination of AHP and ZOGP.

AHP (Analytic Hierarchy Process): เป็นเทคนิคการตัดสินใจแบบหลายเกณฑ์ ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกเส้นทางขนส่ง ZOGP (Zero-One Goal Programming): เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยในการเลือกเส้นทางที่ตรงตามเป้าหมายและข้อจำกัดต่างๆ เช่น ต้นทุน เวลา ระยะทาง การใช้ร่วมกัน: AHP ช่วยในการกำหนดน้ำหนักความสำคัญของปัจจัยต่างๆ เช่น ต้นทุน เวลา ระยะทาง ความเสี่ยง ZOGP ช่วยในการเลือกเส้นทางที่ตรงตามเป้าหมายและข้อจำกัด โดยคำนึงถึงน้ำหนักความสำคัญที่ได้จาก AHP การใช้ร่วมกันของ AHP และ ZOGP จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ เนื่องจากสามารถพิจารณาปัจจัยต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ตัวเลือกอื่นๆ: AHP หรือ ZOGP เพียงอย่างเดียว: ไม่สามารถครอบคลุมปัจจัยต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน การตัดสินใจแบบสุ่ม: ไม่เหมาะสมสำหรับการตัดสินใจที่มีความสำคัญ ไม่มีวิธีการใด: ไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีวิธีการตัดสินใจที่เหมาะสมสำหรับการเลือกเส้นทางขนส่ง สรุป: การใช้ร่วมกันของ AHP และ ZOGP เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ เนื่องจากสามารถพิจารณาปัจจัยต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมและมีเหตุผล

การตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ (Multi-Criteria Decision Making: MCDM): เป็นวิธีการตัดสินใจที่พิจารณาปัจจัยหลายๆ ปัจจัยที่มีความสำคัญแตกต่างกันไปในการตัดสินใจครั้งเดียว โดยเป้าหมายคือการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดที่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ AHP (Analytic Hierarchy Process): เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ใช้ในการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยการเปรียบเทียบแบบคู่ๆ ZOGP (Zero-One Goal Programming): เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยในการเลือกทางเลือกที่ตรงตามเป้าหมายและข้อจำกัดต่างๆ โดยการกำหนดเป้าหมายให้เป็นตัวเลข 0 หรือ 1 (บรรลุเป้าหมายหรือไม่บรรลุเป้าหมาย) การนำ AHP และ ZOGP มาใช้ร่วมกัน การใช้ AHP ในการกำหนดน้ำหนักความสำคัญของเกณฑ์: ก่อนอื่น เราจะใช้ AHP ในการกำหนดน้ำหนักความสำคัญของแต่ละเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกเส้นทางขนส่ง เช่น ต้นทุน เวลา ระยะทาง ความเสี่ยง ฯลฯ การใช้ ZOGP ในการเลือกทางเลือก: จากนั้น เราจะนำน้ำหนักความสำคัญที่ได้จาก AHP ไปใช้ในการสร้างแบบจำลอง ZOGP เพื่อหาทางเลือกที่ตรงตามเป้าหมายและข้อจำกัดที่กำหนดไว้ โดยอาจกำหนดเป้าหมาย เช่น ต้องการลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องรักษาเวลาการขนส่งให้ตรงตามกำหนด การอ้างอิง หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีงานวิจัยและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่ศึกษาเกี่ยวกับการใช้ AHP และ ZOGP ในการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่ง เช่น บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านการจัดการ โลจิสติกส์ และวิศวกรรมอุตสาหการ งานวิจัยเชิงปฏิบัติ: มีการนำ AHP และ ZOGP ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจริงในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การขนส่ง การผลิต และการบริการ ซอฟต์แวร์สนับสนุนการตัดสินใจ: มีซอฟต์แวร์หลายตัวที่สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ AHP และ ZOGP เช่น Super Decisions, Expert Choice, และ LINGO เหตุผลที่เลือกใช้ AHP และ ZOGP ร่วมกัน ครอบคลุมปัจจัยต่างๆ: สามารถพิจารณาปัจจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพได้ มีความยืดหยุ่น: สามารถปรับเปลี่ยนเกณฑ์และข้อจำกัดได้ตามความเหมาะสม ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน: สามารถหาทางเลือกที่ดีที่สุดได้อย่างเป็นระบบ ได้รับการยอมรับ: เป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการและอุตสาหกรรม สรุป การใช้ร่วมกันของ AHP และ ZOGP เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ เนื่องจากสามารถจัดการกับความซับซ้อนของปัญหาและให้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


According to the case study, what is the primary commodity considered for transportation?

Perishable food items.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


What is the role of the Analytic Hierarchy Process (AHP) in the multimodal transportation decision support model?

To establish weights for different criteria based on expert judgment.

AHP (Analytic Hierarchy Process) เป็นเทคนิคการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ (Multi-Criteria Decision Making: MCDM) ที่ใช้ในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ บทบาทหลักของ AHP: คือการกำหนดน้ำหนักให้กับเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่ง เช่น ต้นทุน เวลา ระยะทาง ความเสี่ยง ความน่าเชื่อถือ เป็นต้น การกำหนดน้ำหนัก: ทำได้โดยการเปรียบเทียบคู่ของเกณฑ์ทีละคู่ เพื่อประเมินความสำคัญสัมพัทธ์ของแต่ละเกณฑ์ สรุป: AHP มีบทบาทสำคัญในการกำหนดน้ำหนักความสำคัญให้กับเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ

ทฤษฎีหลักคิดและการอ้างอิงที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของ AHP ในการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ คำตอบที่ว่า "AHP มีบทบาทในการกำหนดน้ำหนักให้กับเกณฑ์ต่างๆ" นั้นสอดคล้องกับหลักการของการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ (Multi-Criteria Decision Making: MCDM) และทฤษฎีของ AHP โดยตรง ทฤษฎีหลักคิด การตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ (MCDM): เป็นวิธีการตัดสินใจที่พิจารณาปัจจัยหลายๆ ปัจจัยที่มีความสำคัญแตกต่างกันไปในการตัดสินใจครั้งเดียว โดยเป้าหมายคือการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดที่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ AHP (Analytic Hierarchy Process): เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ใช้ในการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยการเปรียบเทียบแบบคู่ๆ บทบาทของ AHP ในการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่ง สร้างโครงสร้างปัญหา: AHP ช่วยในการแบ่งปัญหาการตัดสินใจออกเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่เป้าหมายหลัก ไปจนถึงเกณฑ์ย่อย และทางเลือกต่างๆ ทำให้เห็นภาพรวมของปัญหาได้ชัดเจน กำหนดน้ำหนักความสำคัญ: AHP ใช้การเปรียบเทียบแบบคู่ๆ เพื่อกำหนดน้ำหนักความสำคัญสัมพัทธ์ของแต่ละเกณฑ์ ทำให้สามารถประเมินความสำคัญของแต่ละปัจจัยได้อย่างเป็นระบบ เลือกทางเลือกที่ดีที่สุด: เมื่อได้น้ำหนักความสำคัญของแต่ละเกณฑ์แล้ว สามารถนำไปคำนวณหาค่าคะแนนรวมของแต่ละทางเลือก และเลือกทางเลือกที่มีค่าคะแนนสูงสุด

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


Which risk is NOT considered in the list of risks assessed for multimodal transportation route selection?

Health risk.

ความเสี่ยงต่อสุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ถูกพิจารณาโดยตรงในการเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ เนื่องจากความเสี่ยงประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้คนโดยตรง เช่น ความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมีอันตรายในระหว่างการขนส่ง หรือความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงานขนส่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายแรงงานและมาตรฐานความปลอดภัยมากกว่า

การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management): เน้นการระบุ ประเมิน และควบคุมความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กร โดยทั่วไปจะมุ่งเน้นไปที่ความเสี่ยงทางธุรกิจ เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ และความเสี่ยงด้านกฎหมาย โลจิสติกส์ (Logistics): เกี่ยวข้องกับการวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุมการไหลของสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ ต้นทุน และการส่งมอบตรงเวลา ความปลอดภัยในการขนส่ง (Transportation Safety): เกี่ยวข้องกับมาตรการต่างๆ ที่ใช้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง ซึ่งมักจะมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยของสินค้าและพนักงานขนส่ง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


What does ZOGP stand for, and what is its role in the model?

Zero-One Goal Programming - It's used to solve the optimal route selection problem.

ZOGP ย่อมาจาก Zero-One Goal Programming บทบาทของ ZOGP: เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ (optimization) ที่ใช้ในการแก้ปัญหาการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด (optimal route selection) โดยกำหนดเป้าหมายต่างๆ เช่น ต้นทุนต่ำสุด เวลาขนส่งน้อยที่สุด ระยะทางสั้นที่สุด เป็นต้น

การเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimization): เป็นกระบวนการค้นหาค่าที่ดีที่สุดของฟังก์ชันภายใต้ข้อจำกัดบางประการ โดยในกรณีของ ZOGP เราจะพยายามหาค่าของตัวแปรต่างๆ ที่ทำให้ค่าของฟังก์ชันวัตถุประสงค์ (เช่น ต้นทุนรวม) มีค่าน้อยที่สุด หรือมีค่ามากที่สุด การโปรแกรมเชิงเส้น (Linear Programming): เป็นพื้นฐานของ ZOGP โดย ZOGP เป็นการขยายแนวคิดของการโปรแกรมเชิงเส้นมาใช้กับปัญหาที่มีตัวแปรเป็นแบบ 0-1 (binary variable) ซึ่งเหมาะสำหรับปัญหาการตัดสินใจแบบเลือกหรือไม่เลือก ทฤษฎีจำนวนเต็ม (Integer Programming): ZOGP เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีจำนวนเต็ม ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาการเพิ่มประสิทธิภาพที่มีตัวแปรบางตัวหรือทั้งหมดเป็นจำนวนเต็ม

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


Which of the following is NOT a mode of transport discussed in the multimodal transportation case study?

All are discussed.

การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (Multimodal transportation) หมายถึงการขนส่งสินค้าโดยใช้รูปแบบการขนส่งที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ เช่น ทางรถไฟ ทางเรือ ทางอากาศ และทางบก ร่วมกันในครั้งเดียว เพื่อให้การขนส่งมีประสิทธิภาพสูงสุด กรณีศึกษาการขนส่งแบบหลายรูปแบบ จึงมักจะกล่าวถึงรูปแบบการขนส่งทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้าหนึ่งครั้ง

การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (Multimodal transportation): เป็นแนวคิดในการขนส่งสินค้าโดยใช้รูปแบบการขนส่งที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ (เช่น ทางรถไฟ ทางเรือ ทางอากาศ และทางบก) ร่วมกันในการขนส่งหนึ่งครั้ง เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความเร็วในการขนส่ง และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย โลจิสติกส์ (Logistics): เป็นกระบวนการวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุมการไหลของสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า Supply Chain Management: เป็นการบริหารจัดการกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดหา และการกระจายสินค้า ตั้งแต่ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยการขนส่งแบบหลายรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ เหตุผลที่ต้องกล่าวถึงรูปแบบการขนส่งทั้งหมดในกรณีศึกษา ความครอบคลุม: การศึกษาคดีตัวอย่างการขนส่งแบบหลายรูปแบบจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงกระบวนการการเลือกใช้รูปแบบการขนส่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสินค้าแต่ละประเภทและเส้นทางการขนส่ง การเปรียบเทียบ: การเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และต้นทุนของแต่ละรูปแบบการขนส่ง จะช่วยให้เห็นภาพรวมของการตัดสินใจเลือกใช้รูปแบบการขนส่งที่เหมาะสม การปรับใช้: การศึกษาคดีตัวอย่างจะช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถนำไปปรับใช้กับสถานการณ์จริงได้ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของสินค้า ระยะทาง ต้นทุน และเวลา การอ้างอิง (โดยทั่วไป) หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีหนังสือและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่กล่าวถึงการขนส่งแบบหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาโลจิสติกส์และซัพพลายเชน กรณีศึกษาของบริษัท: บริษัทต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์มักจะมีการเผยแพร่กรณีศึกษาเกี่ยวกับการใช้การขนส่งแบบหลายรูปแบบ รายงานขององค์กรระหว่างประเทศ: องค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNCTAD (United Nations Conference on Trade and Development) มักจะมีรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายของการขนส่งแบบหลายรูปแบบ สรุป: การกล่าวถึงรูปแบบการขนส่งทั้งหมดในกรณีศึกษาการขนส่งแบบหลายรูปแบบเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เห็นภาพรวมของกระบวนการตัดสินใจและการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง นอกจากนี้ การศึกษาคดีตัวอย่างยังช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


In the context of the AHP used in the study, what does a consistency ratio (CR) less than 0.1 indicate?

The judgments are sufficiently consistent.

Consistency Ratio (CR) เป็นค่าที่ใช้ประเมินความสอดคล้องของการเปรียบเทียบแบบคู่ (pairwise comparisons) ใน AHP ค่า CR น้อยกว่า 0.1 แสดงว่าการเปรียบเทียบมีความสอดคล้องกันในระดับที่ยอมรับได้ ความสอดคล้อง เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างน้ำหนักความสำคัญของเกณฑ์ต่างๆ ใน AHP

Analytic Hierarchy Process (AHP): เป็นวิธีการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยการเปรียบเทียบแบบคู่ (pairwise comparisons) Consistency Ratio (CR): เป็นค่าที่ใช้วัดความสอดคล้องของการเปรียบเทียบแบบคู่ หากค่า CR น้อยกว่า 0.1 แสดงว่าการเปรียบเทียบมีความสอดคล้องกันในระดับที่ยอมรับได้ Eigenvector: เป็นเวกเตอร์ลักษณะเฉพาะที่ใช้ในการคำนวณน้ำหนักความสำคัญของแต่ละเกณฑ์จากเมทริกซ์การเปรียบเทียบแบบคู่ เหตุผลที่ค่า CR น้อยกว่า 0.1 แสดงว่าการตัดสินใจมีความสอดคล้องกันเพียงพอ ความสอดคล้องในการตัดสินใจ: หากผู้ตัดสินใจให้คะแนนการเปรียบเทียบแบบคู่ที่สอดคล้องกัน ค่า CR จะมีค่าน้อย หรือใกล้เคียงกับศูนย์ ซึ่งแสดงว่าการตัดสินใจของผู้ตัดสินใจมีความสอดคล้องกัน ความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์: เมื่อค่า CR อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (น้อยกว่า 0.1) จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ AHP มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เนื่องจากการเปรียบเทียบที่ใช้ในการคำนวณน้ำหนักมีความสอดคล้องกัน การตรวจสอบความถูกต้องของแบบจำลอง: ค่า CR เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของแบบจำลอง AHP หากค่า CR สูง แสดงว่าอาจมีข้อผิดพลาดในการให้คะแนน หรือแบบจำลองที่สร้างขึ้นอาจไม่เหมาะสม การอ้างอิง หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีหนังสือและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่กล่าวถึง AHP และวิธีการคำนวณค่า CR โดยละเอียด ซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ AHP: ซอฟต์แวร์ต่างๆ เช่น Expert Choice, Super Decisions และ MATLAB มีฟังก์ชันสำหรับการคำนวณค่า CR และวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ AHP มาตรฐานสากล: มาตรฐานบางอย่าง เช่น ISO อาจมีการกล่าวถึงการใช้ AHP และการประเมินความสอดคล้องของผลลัพธ์ สรุป ค่า Consistency Ratio (CR) น้อยกว่า 0.1 ใน AHP เป็นการบ่งชี้ว่าการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญมีความสอดคล้องกันเพียงพอ และผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ AHP มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการนำผลลัพธ์ไปใช้ในการตัดสินใจจริง

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


What is the primary purpose of sensitivity analysis in the context of the ZOGP model used in the study?

To check the robustness of the model's outcomes against changes in input parameters.

Sensitivity analysis คือการศึกษาว่าผลลัพธ์ของแบบจำลองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระ ในกรณีของ ZOGP model ตัวแปรอิสระอาจรวมถึงค่าใช้จ่าย เวลา ระยะทาง และข้อจำกัดอื่นๆ การตรวจสอบความอ่อนไหว ช่วยให้ผู้วิเคราะห์เข้าใจถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของผลลัพธ์

การวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity analysis): เป็นเทคนิคที่ใช้ในการศึกษาว่าผลลัพธ์ของแบบจำลองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือและความเสถียรของผลลัพธ์ Zero-One Goal Programming (ZOGP): เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพที่ใช้ในการแก้ปัญหาการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุเป้าหมายหลายๆ เป้าหมาย โดยตัวแปรตัดสินใจมีค่าเป็น 0 หรือ 1 เท่านั้น Robust Optimization: เป็นสาขาหนึ่งของการวิจัยดำเนินงานที่มุ่งเน้นการสร้างแบบจำลองที่สามารถทำงานได้ดีภายใต้สภาวะที่ไม่แน่นอน เหตุผลที่ต้องทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหวในแบบจำลอง ZOGP ความไม่แน่นอนของข้อมูล: ค่าของพารามิเตอร์ที่ใช้ในการสร้างแบบจำลอง ZOGP อาจมีความไม่แน่นอนหรือมีความคลาดเคลื่อนได้ ความซับซ้อนของปัญหา: ปัญหาที่แก้ไขโดยใช้ ZOGP มักจะมีความซับซ้อนและมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ การตัดสินใจ: ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ความอ่อนไหวจะช่วยให้ผู้ตัดสินใจสามารถประเมินความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของการตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ การอ้างอิง (โดยทั่วไป) หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีหนังสือและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่กล่าวถึงการวิเคราะห์ความอ่อนไหวและการประยุกต์ใช้ในแบบจำลองการเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ รวมถึง ZOGP ซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ความอ่อนไหว: ซอฟต์แวร์ต่างๆ เช่น Excel, MATLAB, และซอฟต์แวร์เฉพาะทางสำหรับการวิเคราะห์ความอ่อนไหว สามารถใช้ในการดำเนินการวิเคราะห์ความอ่อนไหวได้ มาตรฐานสากล: มาตรฐานบางอย่าง เช่น ISO อาจมีการกล่าวถึงการวิเคราะห์ความอ่อนไหวในบริบทของการสร้างแบบจำลองและการตัดสินใจ สรุป การวิเคราะห์ความอ่อนไหวในแบบจำลอง ZOGP เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์และช่วยให้ผู้ตัดสินใจสามารถประเมินความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของการตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ โดยการเปลี่ยนแปลงค่าของพารามิเตอร์อินพุตและสังเกตผลกระทบต่อผลลัพธ์สุดท้าย ผู้วิเคราะห์จะสามารถระบุตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อผลลัพธ์ และสามารถปรับปรุงแบบจำลองให้มีความแม่นยำมากขึ้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


Which of the following best describes the role of multimodal transportation in global trade according to the study?

It is essential for making local industry and international trade more efficient and competitive.

การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (Multimodal transportation) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยใช้รูปแบบการขนส่งที่แตกต่างกัน (ทางบก, ทางน้ำ, ทางอากาศ) เพื่อลดต้นทุน, เวลาขนส่ง และความเสี่ยง การแข่งขันในตลาดโลก: การขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยให้สินค้าสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยสามารถส่งมอบสินค้าตรงเวลาและมีต้นทุนต่ำ การสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ: การขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยให้อุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และได้รับวัตถุดิบจากต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว

โลจิสติกส์ (Logistics): เป็นกระบวนการวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุมการไหลของสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า การขนส่งแบบหลายรูปแบบเป็นส่วนสำคัญของโลจิสติกส์ Supply Chain Management: เป็นการบริหารจัดการกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดหา และการกระจายสินค้า ตั้งแต่ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยให้ซัพพลายเชนมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ดีขึ้น เศรษฐศาสตร์การขนส่ง (Transportation Economics): ศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านการขนส่ง เช่น การเลือกเส้นทาง การเลือกพาหนะ และการกำหนดอัตราค่าขนส่ง การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยลดต้นทุนในการขนส่งและเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ (International Trade): การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ โดยลดอุปสรรคทางด้านการขนส่งและช่วยให้สินค้าสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น เหตุผลที่การขนส่งแบบหลายรูปแบบมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพ: การใช้รูปแบบการขนส่งที่หลากหลายช่วยให้สามารถเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับลักษณะของสินค้าและเส้นทางการขนส่ง ทำให้ลดระยะเวลาในการขนส่ง ลดต้นทุน และลดความเสียหายของสินค้า ลดต้นทุน: การรวมรูปแบบการขนส่งที่แตกต่างกันช่วยลดต้นทุนโดยรวมของการขนส่ง เนื่องจากสามารถเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงของการขนส่ง เพิ่มความยืดหยุ่น: การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางและรูปแบบการขนส่งได้ตามความเหมาะสม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด ลดความเสี่ยง: การกระจายความเสี่ยงในการขนส่งไปยังหลายรูปแบบ ช่วยลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของการขนส่งในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ: การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยให้สินค้าสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ: การขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยให้อุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และสามารถเข้าถึงวัตถุดิบและเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น การอ้างอิง (โดยทั่วไป) หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีหนังสือและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่กล่าวถึงการขนส่งแบบหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รายงานขององค์กรระหว่างประเทศ: องค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNCTAD (United Nations Conference on Trade and Development) มักจะมีรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายของการขนส่งแบบหลายรูปแบบ กรณีศึกษาของบริษัท: บริษัทต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์มักจะมีการเผยแพร่กรณีศึกษาเกี่ยวกับการใช้การขนส่งแบบหลายรูปแบบ สรุป: การขนส่งแบบหลายรูปแบบเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ทั้งอุตสาหกรรมภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


What is the main natural cause of landslides along the Jammu-Srinagar National Highway?

Prolonged precipitation

ฝนตกหนักและต่อเนื่อง: เป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่สำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดดินสไลด์ในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงบริเวณทางหลวง Jammu-Srinagar ด้วย น้ำฝนที่ซึมลงดินจะทำให้ดินอิ่มตัวและสูญเสียความแข็งแรง ทำให้ชั้นดินที่อยู่บนเนินลาดมีความเสถียรลดลง และเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น แผ่นดินไหว หรือการตัดถนน อาจทำให้เกิดดินสไลด์ได้ง่าย ปัจจัยอื่นๆ: แม้ว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น แผ่นดินไหว หรือไฟป่า ก็อาจก่อให้เกิดดินสไลด์ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว ฝนตกหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานานถือเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดดินสไลด์ในบริเวณที่มีความลาดชันสูง

ธรณีวิทยา: กระบวนการทางธรณีวิทยา: การกัดเซาะ ดินสไลด์ การเคลื่อนตัวของมวลดิน ซึ่งล้วนได้รับอิทธิพลจากปริมาณน้ำฝน ธรณีสัณฐาน: ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและความลาดชันสูง ทำให้พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์เมื่อมีปริมาณน้ำฝนมาก อุทกวิทยา: วัฏจักรของน้ำ: น้ำฝนที่ตกลงมาจะซึมลงดิน ทำให้ดินอิ่มตัว และเมื่อดินอิ่มตัวมากเกินไป จะเกิดการเคลื่อนตัวของมวลดิน วิศวกรรมธรณีเทคนิค: ความแข็งแรงของดิน: น้ำฝนจะลดความแข็งแรงของดิน ทำให้ดินสูญเสียความสามารถในการรับน้ำหนักและเกิดการเคลื่อนตัว ความเสถียรของสโลป: ความชันของเนินเขาและปริมาณน้ำฝนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเสถียรของสโลป การอ้างอิง (โดยทั่วไป) เอกสารวิชาการ: บทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับดินสไลด์ในภูมิภาคที่มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกับ Jammu-Srinagar เช่น ภูมิภาคหิมาลัย รายงานของหน่วยงานรัฐบาล: รายงานการศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น ดินสไลด์ แผ่นดินไหว ในพื้นที่ดังกล่าว มาตรฐานวิศวกรรม: มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบโครงสร้างและการประเมินความเสี่ยงจากดินสไลด์ ฐานข้อมูลทางธรณีวิทยา: ข้อมูลทางธรณีวิทยาของพื้นที่ Jammu-Srinagar เช่น ประเภทของดิน ภูมิประเทศ ความลาดชัน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


According to the article, what technology is used to assess landslide-prone areas along the highway?

Remote sensing and ARIMA modeling

Remote sensing เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูลจากระยะไกล โดยใช้ดาวเทียมหรือเครื่องบินไร้คนขับ เพื่อสร้างภาพถ่ายและข้อมูลเชิงพื้นที่ของพื้นที่ศึกษา ARIMA modeling เป็นเทคนิคทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลา ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ความเสี่ยงของดินสไลด์

Remote sensing: เป็นเทคนิคการสำรวจจากระยะไกลโดยใช้เซนเซอร์ที่ติดตั้งบนดาวเทียมหรือเครื่องบินเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวโลก เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลภูมิประเทศ ข้อมูลพืชพันธุ์ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงของดินสไลด์ ARIMA modeling: เป็นแบบจำลองทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลา (time series data) เช่น ปริมาณน้ำฝน ความชื้นในดิน เพื่อทำนายแนวโน้มและความผันผวนของปรากฏการณ์ต่างๆ รวมถึงการเกิดดินสไลด์ Geographic Information System (GIS): เป็นระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่ใช้ในการจัดเก็บ วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ ซึ่งสามารถนำข้อมูลจาก remote sensing มาประมวลผลร่วมกับข้อมูลอื่นๆ เพื่อสร้างแผนที่ความเสี่ยงของดินสไลด์ ธรณีวิทยา: การศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของดิน หิน และโครงสร้างทางธรณีวิทยา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเสี่ยงของดินสไลด์ อุทกวิทยา: การศึกษาเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำ การไหลบ่าของน้ำ และการซึมของน้ำในดิน ซึ่งมีความสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ การผสมผสานของเทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเวลาได้อย่างครอบคลุม เพื่อระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดดินสไลด์ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ความชันของพื้นที่ ประเภทของดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และปริมาณน้ำฝน การอ้างอิง (โดยทั่วไป) เอกสารวิชาการ: บทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์โดยใช้ remote sensing และ GIS รายงานของหน่วยงานรัฐบาล: รายงานการศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น ดินสไลด์ แผ่นดินไหว คู่มือและมาตรฐาน: คู่มือการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ตามมาตรฐานสากล ฐานข้อมูลทางธรณีวิทยา: ข้อมูลทางธรณีวิทยาของพื้นที่ศึกษา เช่น ประเภทของดิน ภูมิประเทศ ความลาดชัน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


What is the relationship between land surface temperature (LST) and underground water level mentioned in the study?

Inversely proportional

น้ำใต้ดินมีบทบาทในการระบายความร้อน: น้ำใต้ดินทำหน้าที่เหมือนตัวดูดซับความร้อนจากผิวดิน ทำให้พื้นผิวดินมีอุณหภูมิต่ำลง ระดับน้ำใต้ดินลดลง: เมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลง ความสามารถในการระบายความร้อนของดินลดลง ส่งผลให้พื้นผิวดินมีความร้อนสะสมมากขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวดินสูงขึ้น: เมื่อความร้อนสะสมมากขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวดินจะสูงขึ้นตามไปด้วย

น้ำใต้ดินมีบทบาทในการระบายความร้อน: น้ำใต้ดินทำหน้าที่เหมือนตัวดูดซับความร้อนจากผิวดิน ทำให้พื้นผิวดินมีอุณหภูมิต่ำลง ระดับน้ำใต้ดินลดลง: เมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลง ความสามารถในการระบายความร้อนของดินลดลง ส่งผลให้พื้นผิวดินมีความร้อนสะสมมากขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวดินสูงขึ้น: เมื่อความร้อนสะสมมากขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวดินจะสูงขึ้นตามไปด้วย สรุป: มีความสัมพันธ์เชิงผกผันระหว่างอุณหภูมิพื้นผิวดิน (LST) และระดับน้ำใต้ดิน โดยเมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลง อุณหภูมิพื้นผิวดินจะสูงขึ้น

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


How is the threshold value for landslide triggering determined as per the study?

Using field surveys and geotechnical parameters

Field surveys: การสำรวจพื้นที่จริงเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประเภทดิน ความชัน และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์ Geotechnical parameters: การวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิศวกรรมของดิน เช่น ความแข็งแรง ความยึดเกาะ ความพรุน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์

วิศวกรรมธรณีเทคนิค (Geotechnical Engineering): ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสมบัติทางวิศวกรรมของดินและหิน ซึ่งรวมถึงความแข็งแรง ความยึดเกาะ ความพรุน และความสามารถในการซึมผ่านของน้ำ การวิเคราะห์พารามิเตอร์เหล่านี้ช่วยในการประเมินความเสถียรของดินและความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์ ธรณีวิทยา: การศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของดิน หิน และโครงสร้างทางธรณีวิทยา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเสี่ยรของดินและความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์ เช่น ประเภทของดิน ความแตกแยกของหิน และโครงสร้างทางธรณีวิทยา อุทกวิทยา: การศึกษาเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำ การไหลบ่าของน้ำ และการซึมของน้ำในดิน ซึ่งมีความสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำใต้ดิน ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System, GIS): เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดเก็บ วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดินสไลด์ เช่น ความลาดชัน ความสูง และการใช้ประโยชน์ที่ดิน การอ้างอิง (โดยทั่วไป) เอกสารวิชาการ: บทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์พารามิเตอร์ทางวิศวกรรมของดินและการใช้ GIS รายงานของหน่วยงานรัฐบาล: รายงานการศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น ดินสไลด์ แผ่นดินไหว คู่มือและมาตรฐาน: คู่มือการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ตามมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐานของ International Association for Engineering Geology and the Environment (IAEG) ฐานข้อมูลทางธรณีวิทยา: ข้อมูลทางธรณีวิทยาของพื้นที่ศึกษา เช่น ประเภทของดิน ภูมิประเทศ ความลาดชัน

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


If the mean monthly rainfall in April is 150 mm and it increases by 20% in May, what is the mean monthly rainfall in May?

180 mm

. Calculate the amount of increase in rainfall. Increase in rainfall (mm) = April rainfall (mm) x Increase (%) / 100 Increase in rainfall = 150 mm * 20% / 100 = 30 mm 2. Add the increase in rainfall to the April rainfall. Mean monthly rainfall in May = April rainfall + Increase in rainfall May rainfall = 150 mm + 30 mm = 180 mm

The mean monthly rainfall in May is 180 mm.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


Given that the slope angle in a studied section is 45 degrees and the friction angle (phi) is 11 degrees, what is the ratio of friction angle to slope angle?

0.24

Slope angle = 45 degrees Friction angle (phi) = 11 degrees To find: Ratio of friction angle to slope angle Calculation: Ratio = Friction angle / Slope angle = 11 degrees / 45 degrees ≈ 0.24

Therefore, the ratio of friction angle to slope angle is approximately 0.24.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


If the specific gravity of soil is 2.74 and the natural density is 1.69 kg/cm³, what is the approximate weight of 1 cubic meter of soil?

2740 kg

Convert natural density to g/cm³: We know that 1 kg = 1000 g So, 1.69 kg/cm³ = 1690 g/cm³ Calculate the weight of 1 cm³ of soil: Weight of 1 cm³ of soil = Specific gravity * Density of water Weight of 1 cm³ of soil = 2.74 * 1 g/cm³ = 2.74 g/cm³ Calculate the weight of 1 cubic meter of soil: There are 100 cm in 1 meter. So, 1 cubic meter = 100 cm * 100 cm * 100 cm = 1,000,000 cm³ Weight of 1 cubic meter of soil = Weight of 1 cm³ of soil * Volume of 1 cubic meter Weight of 1 cubic meter of soil = 2.74 g/cm³ * 1,000,000 cm³ = 2,740,000 g Convert grams to kilograms: 2,740,000 g = 2740 kg

Therefore, the approximate weight of 1 cubic meter of soil is 2740 kg. So, the correct answer is 2740 kg.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


Assuming that the direct shear of soil is 0.05 kg/cm², how much shear force is exerted on a 10 cm x 10 cm area?

5 kg

Calculate the area: Area = Length * Width = 10 cm * 10 cm = 100 cm² Calculate the shear force: Shear force = Direct shear stress * Area Shear force = 0.05 kg/cm² * 100 cm² = 5 kg

Therefore, the shear force exerted on a 10 cm x 10 cm area is 5 kg. So, the correct answer is 5 kg.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


If the rate of land surface temperature change is 0.1°C per year starting at 24.94°C in 2020, what will be the LST in 2024?

25.34°C

ere's how the calculation works: Temperature increase per year: 0.1°C Number of years: 2024 - 2020 = 4 years Total temperature increase: 0.1°C/year * 4 years = 0.4°C Final LST: Initial LST + Total temperature increase = 24.94°C + 0.4°C = 25.34°C

ere's how the calculation works: Temperature increase per year: 0.1°C Number of years: 2024 - 2020 = 4 years Total temperature increase: 0.1°C/year * 4 years = 0.4°C Final LST: Initial LST + Total temperature increase = 24.94°C + 0.4°C = 25.34°C

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


What method does the study use to forecast future landslides?

ARIMA and SPSS Forecasting Model

ARIMA (AutoRegressive Integrated Moving Average): เป็นแบบจำลองทางสถิติที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพยากรณ์เหตุการณ์ดินสไลด์ในอนาคตได้ โดยพิจารณาจากข้อมูลในอดีต เช่น ปริมาณน้ำฝน กิจกรรมทางธรณี และเหตุการณ์ดินสไลด์ที่เกิดขึ้น SPSS (Statistical Package for the Social Sciences): เป็นโปรแกรมทางสถิติที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างแบบจำลอง รวมถึงการสร้างแบบจำลอง ARIMA เหตุผลที่เลือกคำตอบนี้: มีความเป็นวิทยาศาสตร์: การใช้แบบจำลองทางสถิติเป็นวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์และมีหลักฐานสนับสนุน พิจารณาปัจจัยหลายอย่าง: แบบจำลอง ARIMA สามารถพิจารณาปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดินสไลด์ เช่น ปริมาณน้ำฝน การเปลี่ยนแปลงของดิน และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีความแม่นยำ: เมื่อมีการปรับแต่งแบบจำลองให้เหมาะสม จะสามารถให้ผลการพยากรณ์ที่มีความแม่นยำสูง

อนุกรมเวลา (Time series): ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาในช่วงเวลาต่อเนื่อง เช่น ปริมาณน้ำฝนระดับน้ำใต้ดิน ความชื้นในดิน เป็นต้น การวิเคราะห์อนุกรมเวลาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต แบบจำลอง ARIMA: เป็นแบบจำลองทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลา โดยอาศัยหลักการของการถดถอยอัตโนมัติ (Autoregression) การหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และการหาส่วนต่าง (Differencing) เพื่อจับความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในอดีตกับค่าในปัจจุบันและอนาคต การวิเคราะห์การถดถอย (Regression analysis): ใช้เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ (เช่น ปริมาณน้ำฝน) กับตัวแปรตาม (เช่น ความเสี่ยงของการเกิดดินสไลด์) ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Probability theory): ใช้ในการประเมินความไม่แน่นอนของการพยากรณ์ โดยให้ค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การอ้างอิง หนังสือเรียนและเอกสารวิชาการ: หนังสือเรียนสถิติขั้นสูง เอกสารวิชาการเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลาและการประยุกต์ใช้ในด้านวิศวกรรมธรณีเทคนิค บทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์ดินสไลด์โดยใช้แบบจำลอง ARIMA ซอฟต์แวร์ SPSS: คู่มือการใช้งานและเอกสารประกอบของซอฟต์แวร์ SPSS ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลาและการสร้างแบบจำลอง ARIMA ขั้นตอนการนำไปใช้ เก็บรวบรวมข้อมูล: รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ปริมาณน้ำฝน ระดับน้ำใต้ดิน ข้อมูลทางธรณีวิทยา และข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ดินสไลด์ในอดีต วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น: ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล กำจัดข้อมูลผิดพลาด และทำการแปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับการวิเคราะห์ สร้างแบบจำลอง ARIMA: เลือกแบบจำลอง ARIMA ที่เหมาะสมกับข้อมูล โดยพิจารณาจากค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ของแบบจำลอง ประเมินประสิทธิภาพของแบบจำลอง: ตรวจสอบความแม่นยำของแบบจำลองโดยเปรียบเทียบค่าที่พยากรณ์ได้กับค่าจริง นำแบบจำลองไปใช้ในการพยากรณ์: ใช้แบบจำลองที่ได้สร้างขึ้นเพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ดินสไลด์ในอนาคต ข้อจำกัด ความแม่นยำของข้อมูล: ข้อมูลที่ใช้ในการสร้างแบบจำลองต้องมีความถูกต้องและครอบคลุม ความซับซ้อนของปรากฏการณ์: การเกิดดินสไลด์เป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายอย่าง การสร้างแบบจำลองที่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม: สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอาจเปลี่ยนแปลงไป ทำให้แบบจำลองที่สร้างขึ้นอาจไม่สามารถใช้พยากรณ์ได้ในระยะยาว สรุป การใช้แบบจำลอง ARIMA และ SPSS ในการพยากรณ์ดินสไลด์เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจทางสถิติและวิศวกรรม รวมถึงการเลือกใช้ข้อมูลที่เหมาะสมและการประเมินผลอย่างรอบคอบ

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 112.75 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา