1 |
What is the primary goal of using multimodal transportation in logistics as per the discussed research?
|
To minimize transportation costs and risks while delivering on time. |
|
การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (Multimodal transportation) หมายถึง การใช้หลายรูปแบบการขนส่ง (ทางบก, ทางน้ำ, ทางอากาศ) เพื่อขนส่งสินค้าจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพ
เป้าหมายหลัก: คือลดต้นทุน การควบคุมความเสี่ยง และรักษาเวลาการขนส่งให้ตรงเวลา
การผสมผสานรูปแบบการขนส่ง: ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการขนส่งสินค้า สามารถเลือกใช้รูปแบบการขนส่งที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงของเส้นทาง
ลดความเสี่ยง: การกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาเพียงรูปแบบการขนส่งเดียว
|
หลักการของโลจิสติกส์ (Logistics Principles): มุ่งเน้นไปที่การจัดการการไหลของสินค้า บริการ และข้อมูล ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบจนถึงผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
การบริหารจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management): เป็นกระบวนการวางแผนและบริหารจัดการการไหลของสินค้า บริการ และข้อมูล ตั้งแต่ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ
การเพิ่มประสิทธิภาพ (Efficiency): การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต
การลดความเสี่ยง (Risk Mitigation): การระบุและควบคุมปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของซัพพลายเชน เช่น ความล่าช้าในการขนส่ง ความเสียหายของสินค้า ภาวะขาดแคลน ฯลฯ
การอ้างอิง:
หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีงานวิจัยและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการขนส่งแบบหลายรูปแบบในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของซัพพลายเชน
การศึกษาเชิงประจักษ์: มีการศึกษาเชิงประจักษ์จำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่าการใช้การขนส่งแบบหลายรูปแบบสามารถลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างมีนัยสำคัญ
การปฏิบัติจริงขององค์กร: บริษัทโลจิสติกส์และองค์กรต่างๆ ที่ใช้การขนส่งแบบหลายรูปแบบมักจะเน้นย้ำถึงประโยชน์ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
Which method is primarily used for decision-making in multimodal transportation route selection?
|
A combination of AHP and ZOGP. |
|
AHP (Analytic Hierarchy Process): เป็นเทคนิคการตัดสินใจแบบหลายเกณฑ์ ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกเส้นทางขนส่ง
ZOGP (Zero-One Goal Programming): เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยในการเลือกเส้นทางที่ตรงตามเป้าหมายและข้อจำกัดต่างๆ เช่น ต้นทุน เวลา ระยะทาง
การใช้ร่วมกัน:
AHP ช่วยในการกำหนดน้ำหนักความสำคัญของปัจจัยต่างๆ เช่น ต้นทุน เวลา ระยะทาง ความเสี่ยง
ZOGP ช่วยในการเลือกเส้นทางที่ตรงตามเป้าหมายและข้อจำกัด โดยคำนึงถึงน้ำหนักความสำคัญที่ได้จาก AHP
การใช้ร่วมกันของ AHP และ ZOGP จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ เนื่องจากสามารถพิจารณาปัจจัยต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
ตัวเลือกอื่นๆ:
AHP หรือ ZOGP เพียงอย่างเดียว: ไม่สามารถครอบคลุมปัจจัยต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน
การตัดสินใจแบบสุ่ม: ไม่เหมาะสมสำหรับการตัดสินใจที่มีความสำคัญ
ไม่มีวิธีการใด: ไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีวิธีการตัดสินใจที่เหมาะสมสำหรับการเลือกเส้นทางขนส่ง
สรุป:
การใช้ร่วมกันของ AHP และ ZOGP เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ เนื่องจากสามารถพิจารณาปัจจัยต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมและมีเหตุผล
|
การตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ (Multi-Criteria Decision Making: MCDM): เป็นวิธีการตัดสินใจที่พิจารณาปัจจัยหลายๆ ปัจจัยที่มีความสำคัญแตกต่างกันไปในการตัดสินใจครั้งเดียว โดยเป้าหมายคือการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดที่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้
AHP (Analytic Hierarchy Process): เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ใช้ในการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยการเปรียบเทียบแบบคู่ๆ
ZOGP (Zero-One Goal Programming): เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยในการเลือกทางเลือกที่ตรงตามเป้าหมายและข้อจำกัดต่างๆ โดยการกำหนดเป้าหมายให้เป็นตัวเลข 0 หรือ 1 (บรรลุเป้าหมายหรือไม่บรรลุเป้าหมาย)
การนำ AHP และ ZOGP มาใช้ร่วมกัน
การใช้ AHP ในการกำหนดน้ำหนักความสำคัญของเกณฑ์: ก่อนอื่น เราจะใช้ AHP ในการกำหนดน้ำหนักความสำคัญของแต่ละเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกเส้นทางขนส่ง เช่น ต้นทุน เวลา ระยะทาง ความเสี่ยง ฯลฯ
การใช้ ZOGP ในการเลือกทางเลือก: จากนั้น เราจะนำน้ำหนักความสำคัญที่ได้จาก AHP ไปใช้ในการสร้างแบบจำลอง ZOGP เพื่อหาทางเลือกที่ตรงตามเป้าหมายและข้อจำกัดที่กำหนดไว้ โดยอาจกำหนดเป้าหมาย เช่น ต้องการลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องรักษาเวลาการขนส่งให้ตรงตามกำหนด
การอ้างอิง
หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีงานวิจัยและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่ศึกษาเกี่ยวกับการใช้ AHP และ ZOGP ในการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่ง เช่น บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านการจัดการ โลจิสติกส์ และวิศวกรรมอุตสาหการ
งานวิจัยเชิงปฏิบัติ: มีการนำ AHP และ ZOGP ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจริงในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การขนส่ง การผลิต และการบริการ
ซอฟต์แวร์สนับสนุนการตัดสินใจ: มีซอฟต์แวร์หลายตัวที่สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ AHP และ ZOGP เช่น Super Decisions, Expert Choice, และ LINGO
เหตุผลที่เลือกใช้ AHP และ ZOGP ร่วมกัน
ครอบคลุมปัจจัยต่างๆ: สามารถพิจารณาปัจจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพได้
มีความยืดหยุ่น: สามารถปรับเปลี่ยนเกณฑ์และข้อจำกัดได้ตามความเหมาะสม
ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน: สามารถหาทางเลือกที่ดีที่สุดได้อย่างเป็นระบบ
ได้รับการยอมรับ: เป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับและนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการวิชาการและอุตสาหกรรม
สรุป
การใช้ร่วมกันของ AHP และ ZOGP เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ เนื่องจากสามารถจัดการกับความซับซ้อนของปัญหาและให้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
According to the case study, what is the primary commodity considered for transportation?
|
Perishable food items. |
|
|
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
What is the role of the Analytic Hierarchy Process (AHP) in the multimodal transportation decision support model?
|
To establish weights for different criteria based on expert judgment. |
|
AHP (Analytic Hierarchy Process) เป็นเทคนิคการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ (Multi-Criteria Decision Making: MCDM) ที่ใช้ในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ
บทบาทหลักของ AHP: คือการกำหนดน้ำหนักให้กับเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่ง เช่น ต้นทุน เวลา ระยะทาง ความเสี่ยง ความน่าเชื่อถือ เป็นต้น
การกำหนดน้ำหนัก: ทำได้โดยการเปรียบเทียบคู่ของเกณฑ์ทีละคู่ เพื่อประเมินความสำคัญสัมพัทธ์ของแต่ละเกณฑ์
สรุป:
AHP มีบทบาทสำคัญในการกำหนดน้ำหนักความสำคัญให้กับเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ
|
ทฤษฎีหลักคิดและการอ้างอิงที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของ AHP ในการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ
คำตอบที่ว่า "AHP มีบทบาทในการกำหนดน้ำหนักให้กับเกณฑ์ต่างๆ" นั้นสอดคล้องกับหลักการของการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ (Multi-Criteria Decision Making: MCDM) และทฤษฎีของ AHP โดยตรง
ทฤษฎีหลักคิด
การตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ (MCDM): เป็นวิธีการตัดสินใจที่พิจารณาปัจจัยหลายๆ ปัจจัยที่มีความสำคัญแตกต่างกันไปในการตัดสินใจครั้งเดียว โดยเป้าหมายคือการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดที่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้
AHP (Analytic Hierarchy Process): เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ใช้ในการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยการเปรียบเทียบแบบคู่ๆ
บทบาทของ AHP ในการตัดสินใจเลือกเส้นทางขนส่ง
สร้างโครงสร้างปัญหา: AHP ช่วยในการแบ่งปัญหาการตัดสินใจออกเป็นระดับต่างๆ ตั้งแต่เป้าหมายหลัก ไปจนถึงเกณฑ์ย่อย และทางเลือกต่างๆ ทำให้เห็นภาพรวมของปัญหาได้ชัดเจน
กำหนดน้ำหนักความสำคัญ: AHP ใช้การเปรียบเทียบแบบคู่ๆ เพื่อกำหนดน้ำหนักความสำคัญสัมพัทธ์ของแต่ละเกณฑ์ ทำให้สามารถประเมินความสำคัญของแต่ละปัจจัยได้อย่างเป็นระบบ
เลือกทางเลือกที่ดีที่สุด: เมื่อได้น้ำหนักความสำคัญของแต่ละเกณฑ์แล้ว สามารถนำไปคำนวณหาค่าคะแนนรวมของแต่ละทางเลือก และเลือกทางเลือกที่มีค่าคะแนนสูงสุด
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
Which risk is NOT considered in the list of risks assessed for multimodal transportation route selection?
|
Health risk. |
|
ความเสี่ยงต่อสุขภาพโดยทั่วไปจะไม่ถูกพิจารณาโดยตรงในการเลือกเส้นทางขนส่งแบบหลายรูปแบบ เนื่องจากความเสี่ยงประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้คนโดยตรง เช่น ความเสี่ยงจากการสัมผัสสารเคมีอันตรายในระหว่างการขนส่ง หรือความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงานขนส่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายแรงงานและมาตรฐานความปลอดภัยมากกว่า
|
การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management): เน้นการระบุ ประเมิน และควบคุมความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อองค์กร โดยทั่วไปจะมุ่งเน้นไปที่ความเสี่ยงทางธุรกิจ เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ และความเสี่ยงด้านกฎหมาย
โลจิสติกส์ (Logistics): เกี่ยวข้องกับการวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุมการไหลของสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ ต้นทุน และการส่งมอบตรงเวลา
ความปลอดภัยในการขนส่ง (Transportation Safety): เกี่ยวข้องกับมาตรการต่างๆ ที่ใช้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง ซึ่งมักจะมุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยของสินค้าและพนักงานขนส่ง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
What does ZOGP stand for, and what is its role in the model?
|
Zero-One Goal Programming - It's used to solve the optimal route selection problem. |
|
ZOGP ย่อมาจาก Zero-One Goal Programming
บทบาทของ ZOGP: เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพ (optimization) ที่ใช้ในการแก้ปัญหาการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด (optimal route selection) โดยกำหนดเป้าหมายต่างๆ เช่น ต้นทุนต่ำสุด เวลาขนส่งน้อยที่สุด ระยะทางสั้นที่สุด เป็นต้น
|
การเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimization): เป็นกระบวนการค้นหาค่าที่ดีที่สุดของฟังก์ชันภายใต้ข้อจำกัดบางประการ โดยในกรณีของ ZOGP เราจะพยายามหาค่าของตัวแปรต่างๆ ที่ทำให้ค่าของฟังก์ชันวัตถุประสงค์ (เช่น ต้นทุนรวม) มีค่าน้อยที่สุด หรือมีค่ามากที่สุด
การโปรแกรมเชิงเส้น (Linear Programming): เป็นพื้นฐานของ ZOGP โดย ZOGP เป็นการขยายแนวคิดของการโปรแกรมเชิงเส้นมาใช้กับปัญหาที่มีตัวแปรเป็นแบบ 0-1 (binary variable) ซึ่งเหมาะสำหรับปัญหาการตัดสินใจแบบเลือกหรือไม่เลือก
ทฤษฎีจำนวนเต็ม (Integer Programming): ZOGP เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีจำนวนเต็ม ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาการเพิ่มประสิทธิภาพที่มีตัวแปรบางตัวหรือทั้งหมดเป็นจำนวนเต็ม
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
Which of the following is NOT a mode of transport discussed in the multimodal transportation case study?
|
All are discussed. |
|
การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (Multimodal transportation) หมายถึงการขนส่งสินค้าโดยใช้รูปแบบการขนส่งที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ เช่น ทางรถไฟ ทางเรือ ทางอากาศ และทางบก ร่วมกันในครั้งเดียว เพื่อให้การขนส่งมีประสิทธิภาพสูงสุด
กรณีศึกษาการขนส่งแบบหลายรูปแบบ จึงมักจะกล่าวถึงรูปแบบการขนส่งทั้งหมดที่เกี่ยวข้องในการขนส่งสินค้าหนึ่งครั้ง
|
การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (Multimodal transportation): เป็นแนวคิดในการขนส่งสินค้าโดยใช้รูปแบบการขนส่งที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ (เช่น ทางรถไฟ ทางเรือ ทางอากาศ และทางบก) ร่วมกันในการขนส่งหนึ่งครั้ง เพื่อลดต้นทุน เพิ่มความเร็วในการขนส่ง และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย
โลจิสติกส์ (Logistics): เป็นกระบวนการวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุมการไหลของสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า
Supply Chain Management: เป็นการบริหารจัดการกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดหา และการกระจายสินค้า ตั้งแต่ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค โดยการขนส่งแบบหลายรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้
เหตุผลที่ต้องกล่าวถึงรูปแบบการขนส่งทั้งหมดในกรณีศึกษา
ความครอบคลุม: การศึกษาคดีตัวอย่างการขนส่งแบบหลายรูปแบบจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงกระบวนการการเลือกใช้รูปแบบการขนส่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสินค้าแต่ละประเภทและเส้นทางการขนส่ง
การเปรียบเทียบ: การเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และต้นทุนของแต่ละรูปแบบการขนส่ง จะช่วยให้เห็นภาพรวมของการตัดสินใจเลือกใช้รูปแบบการขนส่งที่เหมาะสม
การปรับใช้: การศึกษาคดีตัวอย่างจะช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถนำไปปรับใช้กับสถานการณ์จริงได้ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของสินค้า ระยะทาง ต้นทุน และเวลา
การอ้างอิง (โดยทั่วไป)
หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีหนังสือและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่กล่าวถึงการขนส่งแบบหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
กรณีศึกษาของบริษัท: บริษัทต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์มักจะมีการเผยแพร่กรณีศึกษาเกี่ยวกับการใช้การขนส่งแบบหลายรูปแบบ
รายงานขององค์กรระหว่างประเทศ: องค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNCTAD (United Nations Conference on Trade and Development) มักจะมีรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายของการขนส่งแบบหลายรูปแบบ
สรุป:
การกล่าวถึงรูปแบบการขนส่งทั้งหมดในกรณีศึกษาการขนส่งแบบหลายรูปแบบเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เห็นภาพรวมของกระบวนการตัดสินใจและการประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง นอกจากนี้ การศึกษาคดีตัวอย่างยังช่วยให้ผู้ที่สนใจสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
In the context of the AHP used in the study, what does a consistency ratio (CR) less than 0.1 indicate?
|
The judgments are sufficiently consistent. |
|
Consistency Ratio (CR) เป็นค่าที่ใช้ประเมินความสอดคล้องของการเปรียบเทียบแบบคู่ (pairwise comparisons) ใน AHP
ค่า CR น้อยกว่า 0.1 แสดงว่าการเปรียบเทียบมีความสอดคล้องกันในระดับที่ยอมรับได้
ความสอดคล้อง เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างน้ำหนักความสำคัญของเกณฑ์ต่างๆ ใน AHP
|
Analytic Hierarchy Process (AHP): เป็นวิธีการตัดสินใจเชิงหลายเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยการเปรียบเทียบแบบคู่ (pairwise comparisons)
Consistency Ratio (CR): เป็นค่าที่ใช้วัดความสอดคล้องของการเปรียบเทียบแบบคู่ หากค่า CR น้อยกว่า 0.1 แสดงว่าการเปรียบเทียบมีความสอดคล้องกันในระดับที่ยอมรับได้
Eigenvector: เป็นเวกเตอร์ลักษณะเฉพาะที่ใช้ในการคำนวณน้ำหนักความสำคัญของแต่ละเกณฑ์จากเมทริกซ์การเปรียบเทียบแบบคู่
เหตุผลที่ค่า CR น้อยกว่า 0.1 แสดงว่าการตัดสินใจมีความสอดคล้องกันเพียงพอ
ความสอดคล้องในการตัดสินใจ: หากผู้ตัดสินใจให้คะแนนการเปรียบเทียบแบบคู่ที่สอดคล้องกัน ค่า CR จะมีค่าน้อย หรือใกล้เคียงกับศูนย์ ซึ่งแสดงว่าการตัดสินใจของผู้ตัดสินใจมีความสอดคล้องกัน
ความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์: เมื่อค่า CR อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (น้อยกว่า 0.1) จะทำให้ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ AHP มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เนื่องจากการเปรียบเทียบที่ใช้ในการคำนวณน้ำหนักมีความสอดคล้องกัน
การตรวจสอบความถูกต้องของแบบจำลอง: ค่า CR เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของแบบจำลอง AHP หากค่า CR สูง แสดงว่าอาจมีข้อผิดพลาดในการให้คะแนน หรือแบบจำลองที่สร้างขึ้นอาจไม่เหมาะสม
การอ้างอิง
หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีหนังสือและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่กล่าวถึง AHP และวิธีการคำนวณค่า CR โดยละเอียด
ซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ AHP: ซอฟต์แวร์ต่างๆ เช่น Expert Choice, Super Decisions และ MATLAB มีฟังก์ชันสำหรับการคำนวณค่า CR และวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ AHP
มาตรฐานสากล: มาตรฐานบางอย่าง เช่น ISO อาจมีการกล่าวถึงการใช้ AHP และการประเมินความสอดคล้องของผลลัพธ์
สรุป
ค่า Consistency Ratio (CR) น้อยกว่า 0.1 ใน AHP เป็นการบ่งชี้ว่าการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญมีความสอดคล้องกันเพียงพอ และผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ AHP มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการนำผลลัพธ์ไปใช้ในการตัดสินใจจริง
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
What is the primary purpose of sensitivity analysis in the context of the ZOGP model used in the study?
|
To check the robustness of the model's outcomes against changes in input parameters. |
|
Sensitivity analysis คือการศึกษาว่าผลลัพธ์ของแบบจำลองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระ
ในกรณีของ ZOGP model ตัวแปรอิสระอาจรวมถึงค่าใช้จ่าย เวลา ระยะทาง และข้อจำกัดอื่นๆ
การตรวจสอบความอ่อนไหว ช่วยให้ผู้วิเคราะห์เข้าใจถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของผลลัพธ์
|
การวิเคราะห์ความอ่อนไหว (Sensitivity analysis): เป็นเทคนิคที่ใช้ในการศึกษาว่าผลลัพธ์ของแบบจำลองจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือและความเสถียรของผลลัพธ์
Zero-One Goal Programming (ZOGP): เป็นเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพที่ใช้ในการแก้ปัญหาการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบรรลุเป้าหมายหลายๆ เป้าหมาย โดยตัวแปรตัดสินใจมีค่าเป็น 0 หรือ 1 เท่านั้น
Robust Optimization: เป็นสาขาหนึ่งของการวิจัยดำเนินงานที่มุ่งเน้นการสร้างแบบจำลองที่สามารถทำงานได้ดีภายใต้สภาวะที่ไม่แน่นอน
เหตุผลที่ต้องทำการวิเคราะห์ความอ่อนไหวในแบบจำลอง ZOGP
ความไม่แน่นอนของข้อมูล: ค่าของพารามิเตอร์ที่ใช้ในการสร้างแบบจำลอง ZOGP อาจมีความไม่แน่นอนหรือมีความคลาดเคลื่อนได้
ความซับซ้อนของปัญหา: ปัญหาที่แก้ไขโดยใช้ ZOGP มักจะมีความซับซ้อนและมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อผลลัพธ์
การตัดสินใจ: ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ความอ่อนไหวจะช่วยให้ผู้ตัดสินใจสามารถประเมินความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของการตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
การอ้างอิง (โดยทั่วไป)
หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีหนังสือและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่กล่าวถึงการวิเคราะห์ความอ่อนไหวและการประยุกต์ใช้ในแบบจำลองการเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ รวมถึง ZOGP
ซอฟต์แวร์สำหรับการวิเคราะห์ความอ่อนไหว: ซอฟต์แวร์ต่างๆ เช่น Excel, MATLAB, และซอฟต์แวร์เฉพาะทางสำหรับการวิเคราะห์ความอ่อนไหว สามารถใช้ในการดำเนินการวิเคราะห์ความอ่อนไหวได้
มาตรฐานสากล: มาตรฐานบางอย่าง เช่น ISO อาจมีการกล่าวถึงการวิเคราะห์ความอ่อนไหวในบริบทของการสร้างแบบจำลองและการตัดสินใจ
สรุป
การวิเคราะห์ความอ่อนไหวในแบบจำลอง ZOGP เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์และช่วยให้ผู้ตัดสินใจสามารถประเมินความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของการตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ โดยการเปลี่ยนแปลงค่าของพารามิเตอร์อินพุตและสังเกตผลกระทบต่อผลลัพธ์สุดท้าย ผู้วิเคราะห์จะสามารถระบุตัวแปรที่สำคัญที่สุดที่มีผลต่อผลลัพธ์ และสามารถปรับปรุงแบบจำลองให้มีความแม่นยำมากขึ้น
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
Which of the following best describes the role of multimodal transportation in global trade according to the study?
|
It is essential for making local industry and international trade more efficient and competitive. |
|
การขนส่งแบบหลายรูปแบบ (Multimodal transportation) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยใช้รูปแบบการขนส่งที่แตกต่างกัน (ทางบก, ทางน้ำ, ทางอากาศ) เพื่อลดต้นทุน, เวลาขนส่ง และความเสี่ยง
การแข่งขันในตลาดโลก: การขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยให้สินค้าสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยสามารถส่งมอบสินค้าตรงเวลาและมีต้นทุนต่ำ
การสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ: การขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยให้อุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น และได้รับวัตถุดิบจากต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว
|
โลจิสติกส์ (Logistics): เป็นกระบวนการวางแผน การดำเนินงาน และการควบคุมการไหลของสินค้าตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า การขนส่งแบบหลายรูปแบบเป็นส่วนสำคัญของโลจิสติกส์
Supply Chain Management: เป็นการบริหารจัดการกระบวนการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดหา และการกระจายสินค้า ตั้งแต่ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยให้ซัพพลายเชนมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ดีขึ้น
เศรษฐศาสตร์การขนส่ง (Transportation Economics): ศึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านการขนส่ง เช่น การเลือกเส้นทาง การเลือกพาหนะ และการกำหนดอัตราค่าขนส่ง การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยลดต้นทุนในการขนส่งและเพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
การค้าระหว่างประเทศ (International Trade): การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ โดยลดอุปสรรคทางด้านการขนส่งและช่วยให้สินค้าสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
เหตุผลที่การขนส่งแบบหลายรูปแบบมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมภายในประเทศ
เพิ่มประสิทธิภาพ: การใช้รูปแบบการขนส่งที่หลากหลายช่วยให้สามารถเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับลักษณะของสินค้าและเส้นทางการขนส่ง ทำให้ลดระยะเวลาในการขนส่ง ลดต้นทุน และลดความเสียหายของสินค้า
ลดต้นทุน: การรวมรูปแบบการขนส่งที่แตกต่างกันช่วยลดต้นทุนโดยรวมของการขนส่ง เนื่องจากสามารถเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงของการขนส่ง
เพิ่มความยืดหยุ่น: การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางและรูปแบบการขนส่งได้ตามความเหมาะสม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด
ลดความเสี่ยง: การกระจายความเสี่ยงในการขนส่งไปยังหลายรูปแบบ ช่วยลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของการขนส่งในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ: การขนส่งแบบหลายรูปแบบช่วยให้สินค้าสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ: การขนส่งที่มีประสิทธิภาพช่วยให้อุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และสามารถเข้าถึงวัตถุดิบและเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
การอ้างอิง (โดยทั่วไป)
หนังสือและบทความทางวิชาการ: มีหนังสือและบทความทางวิชาการจำนวนมากที่กล่าวถึงการขนส่งแบบหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาโลจิสติกส์และซัพพลายเชน
รายงานขององค์กรระหว่างประเทศ: องค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNCTAD (United Nations Conference on Trade and Development) มักจะมีรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายของการขนส่งแบบหลายรูปแบบ
กรณีศึกษาของบริษัท: บริษัทต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์มักจะมีการเผยแพร่กรณีศึกษาเกี่ยวกับการใช้การขนส่งแบบหลายรูปแบบ
สรุป:
การขนส่งแบบหลายรูปแบบเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ทั้งอุตสาหกรรมภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
What is the main natural cause of landslides along the Jammu-Srinagar National Highway?
|
Prolonged precipitation |
|
ฝนตกหนักและต่อเนื่อง: เป็นปัจจัยทางธรรมชาติที่สำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดดินสไลด์ในหลายพื้นที่ทั่วโลก รวมถึงบริเวณทางหลวง Jammu-Srinagar ด้วย น้ำฝนที่ซึมลงดินจะทำให้ดินอิ่มตัวและสูญเสียความแข็งแรง ทำให้ชั้นดินที่อยู่บนเนินลาดมีความเสถียรลดลง และเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น แผ่นดินไหว หรือการตัดถนน อาจทำให้เกิดดินสไลด์ได้ง่าย
ปัจจัยอื่นๆ: แม้ว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น แผ่นดินไหว หรือไฟป่า ก็อาจก่อให้เกิดดินสไลด์ได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว ฝนตกหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานานถือเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดดินสไลด์ในบริเวณที่มีความลาดชันสูง
|
ธรณีวิทยา:
กระบวนการทางธรณีวิทยา: การกัดเซาะ ดินสไลด์ การเคลื่อนตัวของมวลดิน ซึ่งล้วนได้รับอิทธิพลจากปริมาณน้ำฝน
ธรณีสัณฐาน: ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาและความลาดชันสูง ทำให้พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์เมื่อมีปริมาณน้ำฝนมาก
อุทกวิทยา:
วัฏจักรของน้ำ: น้ำฝนที่ตกลงมาจะซึมลงดิน ทำให้ดินอิ่มตัว และเมื่อดินอิ่มตัวมากเกินไป จะเกิดการเคลื่อนตัวของมวลดิน
วิศวกรรมธรณีเทคนิค:
ความแข็งแรงของดิน: น้ำฝนจะลดความแข็งแรงของดิน ทำให้ดินสูญเสียความสามารถในการรับน้ำหนักและเกิดการเคลื่อนตัว
ความเสถียรของสโลป: ความชันของเนินเขาและปริมาณน้ำฝนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเสถียรของสโลป
การอ้างอิง (โดยทั่วไป)
เอกสารวิชาการ: บทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับดินสไลด์ในภูมิภาคที่มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกับ Jammu-Srinagar เช่น ภูมิภาคหิมาลัย
รายงานของหน่วยงานรัฐบาล: รายงานการศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น ดินสไลด์ แผ่นดินไหว ในพื้นที่ดังกล่าว
มาตรฐานวิศวกรรม: มาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบโครงสร้างและการประเมินความเสี่ยงจากดินสไลด์
ฐานข้อมูลทางธรณีวิทยา: ข้อมูลทางธรณีวิทยาของพื้นที่ Jammu-Srinagar เช่น ประเภทของดิน ภูมิประเทศ ความลาดชัน
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
According to the article, what technology is used to assess landslide-prone areas along the highway?
|
Remote sensing and ARIMA modeling |
|
Remote sensing เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูลจากระยะไกล โดยใช้ดาวเทียมหรือเครื่องบินไร้คนขับ เพื่อสร้างภาพถ่ายและข้อมูลเชิงพื้นที่ของพื้นที่ศึกษา
ARIMA modeling เป็นเทคนิคทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลา ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ความเสี่ยงของดินสไลด์
|
Remote sensing: เป็นเทคนิคการสำรวจจากระยะไกลโดยใช้เซนเซอร์ที่ติดตั้งบนดาวเทียมหรือเครื่องบินเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพื้นผิวโลก เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลภูมิประเทศ ข้อมูลพืชพันธุ์ และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงของดินสไลด์
ARIMA modeling: เป็นแบบจำลองทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลา (time series data) เช่น ปริมาณน้ำฝน ความชื้นในดิน เพื่อทำนายแนวโน้มและความผันผวนของปรากฏการณ์ต่างๆ รวมถึงการเกิดดินสไลด์
Geographic Information System (GIS): เป็นระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่ใช้ในการจัดเก็บ วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ ซึ่งสามารถนำข้อมูลจาก remote sensing มาประมวลผลร่วมกับข้อมูลอื่นๆ เพื่อสร้างแผนที่ความเสี่ยงของดินสไลด์
ธรณีวิทยา: การศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของดิน หิน และโครงสร้างทางธรณีวิทยา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเสี่ยงของดินสไลด์
อุทกวิทยา: การศึกษาเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำ การไหลบ่าของน้ำ และการซึมของน้ำในดิน ซึ่งมีความสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์
การผสมผสานของเทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเวลาได้อย่างครอบคลุม เพื่อระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดดินสไลด์ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ลักษณะภูมิประเทศ ความชันของพื้นที่ ประเภทของดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และปริมาณน้ำฝน
การอ้างอิง (โดยทั่วไป)
เอกสารวิชาการ: บทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์โดยใช้ remote sensing และ GIS
รายงานของหน่วยงานรัฐบาล: รายงานการศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น ดินสไลด์ แผ่นดินไหว
คู่มือและมาตรฐาน: คู่มือการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ตามมาตรฐานสากล
ฐานข้อมูลทางธรณีวิทยา: ข้อมูลทางธรณีวิทยาของพื้นที่ศึกษา เช่น ประเภทของดิน ภูมิประเทศ ความลาดชัน
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
What is the relationship between land surface temperature (LST) and underground water level mentioned in the study?
|
Inversely proportional |
|
น้ำใต้ดินมีบทบาทในการระบายความร้อน: น้ำใต้ดินทำหน้าที่เหมือนตัวดูดซับความร้อนจากผิวดิน ทำให้พื้นผิวดินมีอุณหภูมิต่ำลง
ระดับน้ำใต้ดินลดลง: เมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลง ความสามารถในการระบายความร้อนของดินลดลง ส่งผลให้พื้นผิวดินมีความร้อนสะสมมากขึ้น
อุณหภูมิพื้นผิวดินสูงขึ้น: เมื่อความร้อนสะสมมากขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวดินจะสูงขึ้นตามไปด้วย
|
น้ำใต้ดินมีบทบาทในการระบายความร้อน: น้ำใต้ดินทำหน้าที่เหมือนตัวดูดซับความร้อนจากผิวดิน ทำให้พื้นผิวดินมีอุณหภูมิต่ำลง
ระดับน้ำใต้ดินลดลง: เมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลง ความสามารถในการระบายความร้อนของดินลดลง ส่งผลให้พื้นผิวดินมีความร้อนสะสมมากขึ้น
อุณหภูมิพื้นผิวดินสูงขึ้น: เมื่อความร้อนสะสมมากขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวดินจะสูงขึ้นตามไปด้วย
สรุป:
มีความสัมพันธ์เชิงผกผันระหว่างอุณหภูมิพื้นผิวดิน (LST) และระดับน้ำใต้ดิน โดยเมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลง อุณหภูมิพื้นผิวดินจะสูงขึ้น
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
How is the threshold value for landslide triggering determined as per the study?
|
Using field surveys and geotechnical parameters |
|
Field surveys: การสำรวจพื้นที่จริงเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ประเภทดิน ความชัน และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์
Geotechnical parameters: การวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิศวกรรมของดิน เช่น ความแข็งแรง ความยึดเกาะ ความพรุน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์
|
วิศวกรรมธรณีเทคนิค (Geotechnical Engineering): ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสมบัติทางวิศวกรรมของดินและหิน ซึ่งรวมถึงความแข็งแรง ความยึดเกาะ ความพรุน และความสามารถในการซึมผ่านของน้ำ การวิเคราะห์พารามิเตอร์เหล่านี้ช่วยในการประเมินความเสถียรของดินและความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์
ธรณีวิทยา: การศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของดิน หิน และโครงสร้างทางธรณีวิทยา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเสี่ยรของดินและความเสี่ยงต่อการเกิดดินสไลด์ เช่น ประเภทของดิน ความแตกแยกของหิน และโครงสร้างทางธรณีวิทยา
อุทกวิทยา: การศึกษาเกี่ยวกับวัฏจักรของน้ำ การไหลบ่าของน้ำ และการซึมของน้ำในดิน ซึ่งมีความสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำใต้ดิน
ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System, GIS): เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจัดเก็บ วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลเชิงพื้นที่ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดินสไลด์ เช่น ความลาดชัน ความสูง และการใช้ประโยชน์ที่ดิน
การอ้างอิง (โดยทั่วไป)
เอกสารวิชาการ: บทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์พารามิเตอร์ทางวิศวกรรมของดินและการใช้ GIS
รายงานของหน่วยงานรัฐบาล: รายงานการศึกษาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น ดินสไลด์ แผ่นดินไหว
คู่มือและมาตรฐาน: คู่มือการประเมินความเสี่ยงของดินสไลด์ตามมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐานของ International Association for Engineering Geology and the Environment (IAEG)
ฐานข้อมูลทางธรณีวิทยา: ข้อมูลทางธรณีวิทยาของพื้นที่ศึกษา เช่น ประเภทของดิน ภูมิประเทศ ความลาดชัน
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
If the mean monthly rainfall in April is 150 mm and it increases by 20% in May, what is the mean monthly rainfall in May?
|
180 mm |
|
. Calculate the amount of increase in rainfall.
Increase in rainfall (mm) = April rainfall (mm) x Increase (%) / 100
Increase in rainfall = 150 mm * 20% / 100 = 30 mm
2. Add the increase in rainfall to the April rainfall.
Mean monthly rainfall in May = April rainfall + Increase in rainfall
May rainfall = 150 mm + 30 mm = 180 mm
|
The mean monthly rainfall in May is 180 mm.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
Given that the slope angle in a studied section is 45 degrees and the friction angle (phi) is 11 degrees, what is the ratio of friction angle to slope angle?
|
0.24 |
|
Slope angle = 45 degrees
Friction angle (phi) = 11 degrees
To find:
Ratio of friction angle to slope angle
Calculation:
Ratio = Friction angle / Slope angle
= 11 degrees / 45 degrees
≈ 0.24
|
Therefore, the ratio of friction angle to slope angle is approximately 0.24.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
If the specific gravity of soil is 2.74 and the natural density is 1.69 kg/cm³, what is the approximate weight of 1 cubic meter of soil?
|
2740 kg |
|
Convert natural density to g/cm³:
We know that 1 kg = 1000 g
So, 1.69 kg/cm³ = 1690 g/cm³
Calculate the weight of 1 cm³ of soil:
Weight of 1 cm³ of soil = Specific gravity * Density of water
Weight of 1 cm³ of soil = 2.74 * 1 g/cm³ = 2.74 g/cm³
Calculate the weight of 1 cubic meter of soil:
There are 100 cm in 1 meter.
So, 1 cubic meter = 100 cm * 100 cm * 100 cm = 1,000,000 cm³
Weight of 1 cubic meter of soil = Weight of 1 cm³ of soil * Volume of 1 cubic meter
Weight of 1 cubic meter of soil = 2.74 g/cm³ * 1,000,000 cm³ = 2,740,000 g
Convert grams to kilograms: 2,740,000 g = 2740 kg
|
Therefore, the approximate weight of 1 cubic meter of soil is 2740 kg.
So, the correct answer is 2740 kg.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
Assuming that the direct shear of soil is 0.05 kg/cm², how much shear force is exerted on a 10 cm x 10 cm area?
|
5 kg |
|
Calculate the area:
Area = Length * Width = 10 cm * 10 cm = 100 cm²
Calculate the shear force:
Shear force = Direct shear stress * Area
Shear force = 0.05 kg/cm² * 100 cm² = 5 kg
|
Therefore, the shear force exerted on a 10 cm x 10 cm area is 5 kg.
So, the correct answer is 5 kg.
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
If the rate of land surface temperature change is 0.1°C per year starting at 24.94°C in 2020, what will be the LST in 2024?
|
25.34°C |
|
ere's how the calculation works:
Temperature increase per year: 0.1°C
Number of years: 2024 - 2020 = 4 years
Total temperature increase: 0.1°C/year * 4 years = 0.4°C
Final LST: Initial LST + Total temperature increase = 24.94°C + 0.4°C = 25.34°C
|
ere's how the calculation works:
Temperature increase per year: 0.1°C
Number of years: 2024 - 2020 = 4 years
Total temperature increase: 0.1°C/year * 4 years = 0.4°C
Final LST: Initial LST + Total temperature increase = 24.94°C + 0.4°C = 25.34°C
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
What method does the study use to forecast future landslides?
|
ARIMA and SPSS Forecasting Model |
|
ARIMA (AutoRegressive Integrated Moving Average): เป็นแบบจำลองทางสถิติที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลา ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพยากรณ์เหตุการณ์ดินสไลด์ในอนาคตได้ โดยพิจารณาจากข้อมูลในอดีต เช่น ปริมาณน้ำฝน กิจกรรมทางธรณี และเหตุการณ์ดินสไลด์ที่เกิดขึ้น
SPSS (Statistical Package for the Social Sciences): เป็นโปรแกรมทางสถิติที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างแบบจำลอง รวมถึงการสร้างแบบจำลอง ARIMA
เหตุผลที่เลือกคำตอบนี้:
มีความเป็นวิทยาศาสตร์: การใช้แบบจำลองทางสถิติเป็นวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์และมีหลักฐานสนับสนุน
พิจารณาปัจจัยหลายอย่าง: แบบจำลอง ARIMA สามารถพิจารณาปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดินสไลด์ เช่น ปริมาณน้ำฝน การเปลี่ยนแปลงของดิน และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
มีความแม่นยำ: เมื่อมีการปรับแต่งแบบจำลองให้เหมาะสม จะสามารถให้ผลการพยากรณ์ที่มีความแม่นยำสูง
|
อนุกรมเวลา (Time series): ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาในช่วงเวลาต่อเนื่อง เช่น ปริมาณน้ำฝนระดับน้ำใต้ดิน ความชื้นในดิน เป็นต้น การวิเคราะห์อนุกรมเวลาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต
แบบจำลอง ARIMA: เป็นแบบจำลองทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลา โดยอาศัยหลักการของการถดถอยอัตโนมัติ (Autoregression) การหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และการหาส่วนต่าง (Differencing) เพื่อจับความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในอดีตกับค่าในปัจจุบันและอนาคต
การวิเคราะห์การถดถอย (Regression analysis): ใช้เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ (เช่น ปริมาณน้ำฝน) กับตัวแปรตาม (เช่น ความเสี่ยงของการเกิดดินสไลด์)
ทฤษฎีความน่าจะเป็น (Probability theory): ใช้ในการประเมินความไม่แน่นอนของการพยากรณ์ โดยให้ค่าความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การอ้างอิง
หนังสือเรียนและเอกสารวิชาการ:
หนังสือเรียนสถิติขั้นสูง
เอกสารวิชาการเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลาและการประยุกต์ใช้ในด้านวิศวกรรมธรณีเทคนิค
บทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์ดินสไลด์โดยใช้แบบจำลอง ARIMA
ซอฟต์แวร์ SPSS: คู่มือการใช้งานและเอกสารประกอบของซอฟต์แวร์ SPSS ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลอนุกรมเวลาและการสร้างแบบจำลอง ARIMA
ขั้นตอนการนำไปใช้
เก็บรวบรวมข้อมูล: รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ปริมาณน้ำฝน ระดับน้ำใต้ดิน ข้อมูลทางธรณีวิทยา และข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ดินสไลด์ในอดีต
วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น: ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล กำจัดข้อมูลผิดพลาด และทำการแปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับการวิเคราะห์
สร้างแบบจำลอง ARIMA: เลือกแบบจำลอง ARIMA ที่เหมาะสมกับข้อมูล โดยพิจารณาจากค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ของแบบจำลอง
ประเมินประสิทธิภาพของแบบจำลอง: ตรวจสอบความแม่นยำของแบบจำลองโดยเปรียบเทียบค่าที่พยากรณ์ได้กับค่าจริง
นำแบบจำลองไปใช้ในการพยากรณ์: ใช้แบบจำลองที่ได้สร้างขึ้นเพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ดินสไลด์ในอนาคต
ข้อจำกัด
ความแม่นยำของข้อมูล: ข้อมูลที่ใช้ในการสร้างแบบจำลองต้องมีความถูกต้องและครอบคลุม
ความซับซ้อนของปรากฏการณ์: การเกิดดินสไลด์เป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายอย่าง การสร้างแบบจำลองที่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย
การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม: สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติอาจเปลี่ยนแปลงไป ทำให้แบบจำลองที่สร้างขึ้นอาจไม่สามารถใช้พยากรณ์ได้ในระยะยาว
สรุป
การใช้แบบจำลอง ARIMA และ SPSS ในการพยากรณ์ดินสไลด์เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจทางสถิติและวิศวกรรม รวมถึงการเลือกใช้ข้อมูลที่เหมาะสมและการประเมินผลอย่างรอบคอบ
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|