1 |
จงใช้แผนภูมิแท่งประกอบการตอบคำถามข้อที่ 1-2
แผนภูมิแท่งแสดงปริมาณสารอาหารในกระแสเลือดก่อนและหลังผ่านเข้าสู่อวัยวะ A และ อวัยวะ B ตามลำดับ
1. อวัยวะ A และ B มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอวัยวะใดตามลำดับ
|
1. ไต ปอด |
|
ปอดแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับอากาศที่หายใจ ทำให้ CO² ลดลงตรงกับB |
ปอดคืออวัยวะหนึ่งที่สำคัญในร่างกาย ซึ่งใช้ในการหายใจและหน้าที่หลักคือ การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเลือดในร่างกาย
หน้าที่สำคัญของไต คือ การสร้างปัสสาวะซึ่งจะช่วยขับของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหารต่างๆ และช่วยในการรักษาความปกติของน้ำและเกลือแร่ของร่างกายนอกจากนั้นไตยังมีหน้าที่ในการสร้างสารที่ควบคุมความดันโลหิต และสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
สาร x น่าจะเป็นสารชีวโมเลกุลประเภทใด
|
5. วิตามิน |
|
วิตามินละลายในน้ำ และไตทำหน้าที่ขับน้ำส่วนเกินออก |
ไตทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารประเภทโปรตีนออกจากร่างกาย ของเสียประเภทนี้ ได้แก่ ยูเรีย ครีอะตินีน กรดยูริก และสารประกอบไนโตรเจนอื่นๆ |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ ประกอบการตอบคำถามข้อที่ 3-4
โมเดลจำลองการหายใจเข้าและหายใจออกของมนุษย์ ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้อุปกรณ์ดังนี้
1. ขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตร พร้อมฝาเจาะรู ตัดครึ่ง นำมาใช้เฉพาะส่วนบน
2. หลอด 2 อัน
3. ลูกโป่ง 2 ลูก
4. แผ่นยาง 1 แผ่น
นำอุปกรณ์ทั้งหมดประกอบกัน โดยต่อหลอดกับลูกโป่งแล้วใส่ลงในขวดน้ำตัดครึ่ง จากนั้นปิดฝาด้านบนและใช้แผ่นยางขึงด้านล่างบริเวณรอยตัดครึ่งให้ตึง
จากภาพ อุปกรณ์แต่ละชนิดจำลองอวัยวะใดในร่างกาย
|
|
|
การแผ่นยางทำให้มีปริมาตรอากาศเพิ่มขึ้นเหมือนการหายใจเข้ากระบังลมจะหดตัวให้อากาศเข้าสู่ปอดมากขึ้น
และหายใจออกจะคลายตัวลง
|
การหายใจ
การหายใจเข้า (INSPIRATION)
กะบังลมจะเลื่อนต่ำลง กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น ทำให้ปริมาตรของช่องอกเพิ่มขึ้น ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดลดต่ำลงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคลื่อนเข้าสู่จมูก หลอดลม และไปยังถุงลมปอด
การหายใจออก (EXPIRATION)
กะบังลมจะเลื่อนสูง กระดูกซี่โครงจะเลื่อนต่ำลง ทำให้ปริมาตรของช่องอกลดน้อยลง ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดสูงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายในถุงลมปอดจึงเคลื่อนที่จากถุงลมปอดไปสู่หลอดลมและออกทางจมูก |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ ประกอบการตอบคำถามข้อที่ 3-4
โมเดลจำลองการหายใจเข้าและหายใจออกของมนุษย์ ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยใช้อุปกรณ์ดังนี้
1. ขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตร พร้อมฝาเจาะรู ตัดครึ่ง นำมาใช้เฉพาะส่วนบน
2. หลอด 2 อัน
3. ลูกโป่ง 2 ลูก
4. แผ่นยาง 1 แผ่น
นำอุปกรณ์ทั้งหมดประกอบกัน โดยต่อหลอดกับลูกโป่งแล้วใส่ลงในขวดน้ำตัดครึ่ง จากนั้นปิดฝาด้านบนและใช้แผ่นยางขึงด้านล่างบริเวณรอยตัดครึ่งให้ตึง
จากภาพ เมื่อใช้โมเดลเพื่อสาธิตการหายใจเข้า อุปกรณ์ต่าง ๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
|
|
|
ดึงแผ่นยางลงทำให้ลูกโป่งพองขึ้น
ปล่อยแผ่นยางทำให้ลูกโป่งแฟบลง |
การหายใจเข้า (INSPIRATION)
กะบังลมจะเลื่อนต่ำลง กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น ทำให้ปริมาตรของช่องอกเพิ่มขึ้น ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดลดต่ำลงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคลื่อนเข้าสู่จมูก หลอดลม และไปยังถุงลมปอด
การหายใออก (EXPIRATION)
กะบังลมจะเลื่อนสูง กระดูกซี่โครงจะเลื่อนต่ำลง ทำให้ปริมาตรของช่องอกลดน้อยลง ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดสูงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายในถุงลมปอดจึงเคลื่อนที่จากถุงลมปอดไปสู่หลอดลมและออกทางจมูก |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
โรคถุงลมโป่งพองเกิดจากสาเหตุใดเป็นหลัก ส่งผลอย่างไรต่อระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ หากต้องการทำโมเดลเพื่อจำลองระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพอง จะต้องมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์อย่างไร
|
สาเหตุหลักเกิดจากการสูบบุหรี่
ทำให้ถุงลมภายในปอดมีการขยายตัวมากขึ้นกว่าปกติ
ให้ภายในมีโฟมหรือวัตถุข้างในลูกโป่ง |
|
ใส่วัตถุข้างในเหมือนถุงลมที่ขนาดพองขึ้นกว่าปกติ |
โรคถุงลมโป่งพอง หมายถึง ภาวะที่ถุงลมเสียความยืดหยุ่นและเปราะง่ายอาจมีการแตกทะลุทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศทำให้ลมที่จะเข้าปอดน้อยกว่าปกติรวมทั้งการแลกเปลี่ยนออกซิเจนก็ลดน้อยลงด้วยซึ่งโดยปกติก๊าซออกซิเจนในถุงลมจะซึมผ่านผนังถุงลม และหลอดเลือดเข้าไปในกระแสเลือด ในขณะที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือดก็จะซึมกลับออกมาในถุงลม |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
ใช้พันธุประวัติต่อไปนี้ตอบคำถามข้อที่ 6-9
การส่งต่อลักษณะการมีลักยิ้มในครอบครัวหนึ่งเป็นไปดังแผนผังพันธุประวัติด้านล่าง โดยสัญลักษณ์ต่าง ๆ มีความหมายดังต่อไปนี้
ลักษณะการมีลักยิ้มมีรูปแบบการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมอย่างไร
|
4. ส่งผ่านอัลลีลด้อยบนโครโมโซมร่างกาย |
|
แอลลีนทำหน้าที่ควบคุมลักษณะเดียวกัน แอลลีลจะ
เหมือนหรือต่างกันก็ได้
» แอลลีลเด่น (Dominant Allele) [แอลลีล A]
» แอลลีลด้อย (Recessive Allele) [แอลลีล a] |
แอลลีนทำหน้าที่ควบคุมลักษณะเดียวกัน แอลลีลจะ
เหมือนหรือต่างกันก็ได้
» แอลลีลเด่น (Dominant Allele) [แอลลีล A]
» แอลลีลด้อย (Recessive Allele) [แอลลีล a] |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
ใช้พันธุประวัติต่อไปนี้ตอบคำถามข้อที่ 6-9
การส่งต่อลักษณะการมีลักยิ้มในครอบครัวหนึ่งเป็นไปดังแผนผังพันธุประวัติด้านล่าง โดยสัญลักษณ์ต่าง ๆ มีความหมายดังต่อไปนี้
หากกำหนดให้ A แทนอัลลีลแสดงลักษณะมีลักยิ้ม และ a แทนอัลลีลแสดงลักษณะไม่มีลักยิ้ม บุคคลใดในพันธุประวัติที่มีความเป็นไปได้ที่จะมีจีโนไทป์แบบ aa
|
4. 5, 8, 9 |
|
คนที่ไม่มีลักยิ้ม(จีโนไทป์ด้อย) จะมีจีโนไทป์เป็น aa เท่านั้น |
จีโนไทป์ (Genotype) หมายถึง รูปแบบของคู่ยีน (คู่แอลลีล) หรือกลุ่มยีนที่ควบคุมฟีโนไทป์ ต่างๆ เช่น จีโนไทป์ที่ควบคุมความยาวของลำต้นถั่ว มีได้ 3 แบบ ได้แก่ TT, Tt และ tt
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
บุคคลใดในพันธุประวัติที่น่าจะมีจีโนไทป์แบบ Heterozygous ของลักษณะการมีลักยิ้ม (เขียนตอบ)
|
1,4,6,7,10 |
|
มีลักษณะเป็นพันทาง จึงปรากฏลักษณะเด่น
แต่มีคุณสมบัติด้อยจากพันธุกรรมที่ไม่แสดงออก |
Heterozygous เป็นชื่อเรียกพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่แอลลีลของลักษณะใดๆ ที่มาเข้าคู่กัน มีลักษณะต่างกัน คือ มีแค่ยีนเด่นคู่กับยีนด้อย (Aa) |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
ความน่าจะเป็นของครอบครัวนี้ที่บุคคลที่ 5 และ 6 จะมีลูกคนถัดไปเป็นลูกชายที่มีลักยิ้มมีค่าเท่าไร
|
2. 0.5 |
|
มีโอกาศ50%ที่ลูกชายจะมีลักยิ้ม |
ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะเด่นเป็นไปไม่เต็ม
100% ทั้งนี้เกิดจากการทำงานของยีนเด่นร่วมกับยีนด้อย เพราะยีนเด่นไม่สามารถข่มการแสดงออกของยีนด้อยได้100% จึงทำ
ให้จีโนไทป์ที่เป็นเฮเทอโรไซกัสมีลักษณะค่อนไปทางโฮโมไซกัสของลักษณะเด่น |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ ในการตอบคำถามข้อ 10 - 12
กำหนดให้ สีขนของกระต่ายถูกควบคุมด้วยหลายอัลลีลบนโครโมโซมร่างกาย โดยมีรูปแบบการแสดงออกดังต่อไปนี้
หากนำกระต่ายสีเทาเข้มที่มีอัลลีลควบคุมสีขนแบบชินชิลลาผสมกับกระต่ายสีขาว กระต่ายรุ่นลูกรุ่นที่ 1 จะมีโอกาสมีสีใดได้บ้าง
|
5. สีชินชิลลา 50% สีเทาเข้ม 50% |
|
จีโนไทป์รุ่นลูก Cc Cc cchdc cchdc |
ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะเด่นเป็นไปไม่เต็ม
100% ทั้งนี้เกิดจากการทำงานของยีนเด่นร่วมกับยีนด้อย เพราะยีนเด่นไม่สามารถข่มการแสดงออกของยีนด้อยได้100% จึงทำ
ให้จีโนไทป์ที่เป็นเฮเทอโรไซกัสมีลักษณะค่อนไปทางโฮโมไซกัสของลักษณะเด่น |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ ในการตอบคำถามข้อ 10 - 12
กำหนดให้ สีขนของกระต่ายถูกควบคุมด้วยหลายอัลลีลบนโครโมโซมร่างกาย โดยมีรูปแบบการแสดงออกดังต่อไปนี้
หากนำกระต่ายสีเทาเข้มผสมกับกระต่ายสีชินชิลลา พบว่ากระต่ายรุ่นลูกมีขนสีเทาเข้มและสีชินชิลลาเหมือนรุ่นพ่อแม่ นอกจากนี้ ยังพบกระต่ายรุ่นลูกที่มีขนสีขาวอีกด้วย จากข้อมูลที่กำหนดให้ จีโนไทป์ของกระต่ายรุ่นพ่อแม่ควรเป็นอย่างไร
|
3. Cc และ cchdc |
|
พ่อแม่ต้องเป็นพันทางที่มีลักษณะด้อย c ทั้งสองตัว |
ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะเด่นเป็นไปไม่เต็ม
100% ทั้งนี้เกิดจากการทำงานของยีนเด่นร่วมกับยีนด้อย เพราะยีนเด่นไม่สามารถข่มการแสดงออกของยีนด้อยได้100% จึงทำ
ให้จีโนไทป์ที่เป็นเฮเทอโรไซกัสมีลักษณะค่อนไปทางโฮโมไซกัสของลักษณะเด่น |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ ในการตอบคำถามข้อ 10 - 12
กำหนดให้ สีขนของกระต่ายถูกควบคุมด้วยหลายอัลลีลบนโครโมโซมร่างกาย โดยมีรูปแบบการแสดงออกดังต่อไปนี้
จากข้อมูลในข้อ 11 กระต่ายรุ่นพ่อแม่จะสีขนชนิดใด
|
4. สีเทาเข้มและสีขาว |
|
Ccchd สีเทา
cc สีขาว |
Ccchd; ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะเด่นเป็นไปไม่เต็ม
100% ทั้งนี้เกิดจากการทำงานของยีนเด่นร่วมกับยีนด้อย เพราะยีนเด่นไม่สามารถข่มการแสดงออกของยีนด้อยได้100% จึงทำ
ให้จีโนไทป์ที่เป็นเฮเทอโรไซกัสมีลักษณะค่อนไปทางโฮโมไซกัสของลักษณะเด่น |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
ในการศึกษาภาวะตาบอดสีเขียวแดงในครอบครัวหนึ่ง พบว่าตาและแม่ มีภาวะตาบอดสี ย่าและยาย เป็นพาหะของภาวะตาบอดสี ส่วนคนอื่น ๆ ในครอบครัวมีสายตาปกติ หากพ่อและแม่มีลูกทั้งหมด 3 คน ประกอบด้วย พี่ชายคนโต น้องสาวคนกลาง และน้องสาวคนเล็ก จงเขียนพันธุประวัติแสดงการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของครอบครัวนี้ พร้อมให้เหตุผลประกอบการเลือกใช้สัญลักษณ์ (เขียนตอบ)
กำหนดให้ใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ดังนี้
|
Aa-ปู่ ยาย ลูกทุกคน
AA-พ่อ
aa- แม่ ตา
|
|
ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะเด่นเป็นไปไม่เต็ม
100% ทั้งนี้เกิดจากการทำงานของยีนเด่นร่วมกับยีนด้อย เพราะยีนเด่นไม่สามารถข่มการแสดงออกของยีนด้อยได้100% จึงทำ
ให้จีโนไทป์ที่เป็นเฮเทอโรไซกัสมีลักษณะค่อนไปทางโฮโมไซกัสของลักษณะเด่น |
ลักษณะเด่นไม่สมบูรณ์ (Incomplete Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะเด่นเป็นไปไม่เต็ม
100% ทั้งนี้เกิดจากการทำงานของยีนเด่นร่วมกับยีนด้อย เพราะยีนเด่นไม่สามารถข่มการแสดงออกของยีนด้อยได้100% จึงทำ
ให้จีโนไทป์ที่เป็นเฮเทอโรไซกัสมีลักษณะค่อนไปทางโฮโมไซกัสของลักษณะเด่น |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
จงคำนวณโอกาสที่พ่อและแม่จะมีคนที่ 4 เป็นลูกชายตาบอดสี (ตอบในรูปแบบทศนิยม) (เขียนตอบ)
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ในการตอบคำถามข้อ 15-16
ในการทดสอบโปรตีนจากตัวอย่างอาหารจำนวน 4 ตัวอย่าง มีรายละเอียดและผลการทดสอบดังนี้
|
0 |
|
ลูกทุกคนได้รับทั้งลักษณะเด่นและด้อย
เป็นพันทางทุกคน
หรือเป็นลักษณะเด่นสมบูรณ์ |
ลักษณะเด่นสมบูรณ์ (Complete Dominance) หมายถึง การแสดงออกของลักษณะเด่นที่เกิดจากการที่ยีน
เด่นสามารถข่มการแสดงออกของยีนด้อยได้ 100% ทำให้จีโนไทป์ที่เป็นโฮโมไซกัสยีนของลักษณะเด่น (Homozygous
Dominance) และเฮเทอโรไซกัสยีนมีการแสดงออกของฟีโนไทป์ที่เหมือนกัน |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
การแปลผลการทดสอบในตัวอย่างใดมีความผิดพลาด
|
2. ตัวอย่างที่ 2 เท่านั้น |
|
สารละลายได้สีม่วงควรแปรผลว่ามีโปรตีน |
การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
ตัวอย่างที่ 2 มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นอาหารชนิดใด
|
1. อกไก่ปั่น น้ำเต้าหู้ |
|
เป็นโปรตีน |
การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
ในการทดสอบตัวอย่างสารไม่ทราบชนิดครั้งหนึ่ง มีรายละเอียดการทดสอบและผลการทดสอบดังนี้
สารตัวอย่างในแต่ละหลอด ประกอบไปด้วยสารชีวโมเลกุลประเภทใดบ้าง จงอธิบายและให้เหตุผลประกอบ
|
หลอด1-มีน้ำตาล
หลอด2-มีไขมัน มีโปรตีน
หลอด3-มีน้ำตาล มีโปรตีน มีแป้ง
หลอด4-มีโปรตีน |
|
การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง
Benedict's test เป็นวิธีทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) และน้ำตาลโมเลกุลคู่ (disaccharide) ที่เป็นน้ำตาลรีดิวซิงทุกชนิด ยกเว้น น้ำตาลซูโครส
สารละลายไอโอดีน : มีสีน้าตาลเหลือง ใช้ทดสอบ : แป้ง วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายไอโอดีน 1 หยดลงใน สารละลายที่ต้องการทดสอบ ผลการทดสอบ : ถ้าน้าไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีน้าตาลเหลือง เป็นสีน้าเงินเข้มหรือสีน้าเงินปนม่วง แสดงว่ามีแป้ง
หยดน้ำมันพืชลงบนกระดาษขาว ขนาด 2 ตารางเซนติเมตร แล้วใช้มือถูไปมา จากนั้นยกกระดาษขึ้นให้แสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่ ผลการทดสอบ : หากนำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วกระดาษขาวโปร่งแสง แสดงว่าสารนั้นมีไขมัน |
การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง
Benedict's test เป็นวิธีทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) และน้ำตาลโมเลกุลคู่ (disaccharide) ที่เป็นน้ำตาลรีดิวซิงทุกชนิด ยกเว้น น้ำตาลซูโครส
สารละลายไอโอดีน : มีสีน้าตาลเหลือง ใช้ทดสอบ : แป้ง วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายไอโอดีน 1 หยดลงใน สารละลายที่ต้องการทดสอบ ผลการทดสอบ : ถ้าน้าไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีน้าตาลเหลือง เป็นสีน้าเงินเข้มหรือสีน้าเงินปนม่วง แสดงว่ามีแป้ง
หยดน้ำมันพืชลงบนกระดาษขาว ขนาด 2 ตารางเซนติเมตร แล้วใช้มือถูไปมา จากนั้นยกกระดาษขึ้นให้แสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่ ผลการทดสอบ : หากนำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วกระดาษขาวโปร่งแสง แสดงว่าสารนั้นมีไขมัน |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
จากข้อมูลในข้อ 17 ตัวอย่างในแต่ละหลอดมีความเป็นไปได้ตามตัวเลือกในข้อใดมากที่สุด
|
3 |
|
ตรงกับการทดสอบสาร |
การทดสอบโปรตีนสามารถทดสอบได้ด้วยปฏิกิริยาไบยูเรต โดยให้โปรตีนทำปฏิกิริยากับสารละลาย CuSO4ในสารละลายเบส NaOH หรือ KOH จะได้สารสีน้ำเงินม่วง
Benedict's test เป็นวิธีทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) และน้ำตาลโมเลกุลคู่ (disaccharide) ที่เป็นน้ำตาลรีดิวซิงทุกชนิด ยกเว้น น้ำตาลซูโครส
สารละลายไอโอดีน : มีสีน้าตาลเหลือง ใช้ทดสอบ : แป้ง วิธีการทดสอบ : หยดสารละลายไอโอดีน 1 หยดลงใน สารละลายที่ต้องการทดสอบ ผลการทดสอบ : ถ้าน้าไปทดสอบสารใด ๆ แล้วเปลี่ยนจากสีน้าตาลเหลือง เป็นสีน้าเงินเข้มหรือสีน้าเงินปนม่วง แสดงว่ามีแป้ง
หยดน้ำมันพืชลงบนกระดาษขาว ขนาด 2 ตารางเซนติเมตร แล้วใช้มือถูไปมา จากนั้นยกกระดาษขึ้นให้แสงผ่าน สังเกตว่าโปร่งแสงหรือไม่ ผลการทดสอบ : หากนำไปทดสอบสารใด ๆ แล้วกระดาษขาวโปร่งแสง แสดงว่าสารนั้นมีไขมัน |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ในการตอบคำถามข้อ 19-20
ในการทดสอบการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร มีการจัดเตรียมและผสมสารต่าง ๆ ดังนี้
โดยหลอดทดลองทุกหลอดถูกควบคุมให้มีอุณหภูมิและ pH ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์แต่ละชนิด
ปฏิกิริยาสามารถเกิดขึ้นได้ในหลอดใดบ้าง และผลิตภัณฑ์ที่ได้คืออะไร (อาจมีมากกว่า 1 คำตอบ) (เขียนตอบ)
|
หลอด5, กรดไขมันและกลีเซอรอล |
|
น้ำจะช่วยทำให้ไขมันแตกตัว และไลเปสจะย่อยไขมันเป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล |
กระบวนการสลาย
ออกไป ไขมันนั้นเมื่อถูกย่อยจะได้เป็นกรดไขมันกับกลีเซอรอล กรดไขมันต้องถูกออกซิเดชัน |
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
ใช้ข้อมูลต่อไปนี้ในการตอบคำถามข้อ 19-20
ในการทดสอบการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์ในระบบทางเดินอาหาร มีการจัดเตรียมและผสมสารต่าง ๆ ดังนี้
โดยหลอดทดลองทุกหลอดถูกควบคุมให้มีอุณหภูมิและ pH ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์แต่ละชนิด
หากเพิ่มชุดการทดลองในหลอดทดลองที่ 6 ซึ่งประกอบด้วยสารผสมระหว่างเปปซินและโปรตีน โดยควบคุมปฏิกิริยาภายใต้อุณหภูมิ 37°C pH 7 ปฏิกิริยาจะสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ อย่างไร จงแสดงเหตุผลประกอบการอธิบายคำตอบ
|
ไม่เกิดการย่อย |
|
Ph ต้องต่ำกว่านี้ |
เอนไซม์เพปซินจะย่อยโปรตีนที่เสียสภาพแล้วให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง ได้เป็นโปรตีโอส (proteose) และเพปโทน (peptone) ซึ่งจัดเป็นสายพอลิเพปไทด์ที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ เพปซินเป็นเอนไซม์ชนิดเอนโดเพปทิเดส (endopeptidase) ซึ่งจะ ไฮโดรไลซ์พันธะเพปไทด์ที่อยู่ด้านในของสายพอลิเพปไทด์ และมีความเฉพาะเจาะจงกับพันธะเพปไทด์ที่เกิดจากกรดแอมิโน
เปปซินถูกหลั่งออกมาในกระเพาะอาหารในรูปของ pepsinogen ซึ่งเป็น proenzyme โดยจะเปลี่ยนเป็น pepsin ในสภาวะที่ pH เท่ากับ 2 หรือต่ำกว่า ซึ่งในกระเพาะอาหาร จะมีกรดไฮโดรคลอริกถูกหลั่งออกมา ทำให้เกิดสภาวะที่เป็นกรดขึ้น proenzyme และ zymogen ตัวอื่นๆ ต้องอาศัยเอนไซม์อื่นมาย่อย จึงกลายเป็นเอนไซม์ที่ทำงานได้ดี
|
10 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|