1 |
|
1. NRTa |
|
เพราะเป็นกลไกการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโปรตีน reverse transcriptase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เอชไอวีใช้ในการสร้างไวรัสใหม่ การเปลี่ยนแปลงของโปรตีนนี้อาจส่งผลต่อความสามารถในการจับกับยาต้านไวรัส หรือทำให้ยาต้านไวรัสไม่สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ |
การดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี หมายถึง ภาวะที่ยาต้านไวรัสไม่สามารถยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสได้อีกต่อไป สาเหตุมาจากการกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้รหัสพันธุกรรมบนจีโนมของไวรัสเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้มีการสร้างเอนไซม์ที่สำคัญของไวรัส (reverse transcriptase, protease และ integrase) ที่มีกรดอะมิโนต่างไปจากไวรัสเดิมที่ไวต่อยาต้านไวรัส (wild-type virus)
กลไกการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีที่พบได้บ่อยที่สุดคือ การกลายพันธุ์ของโปรตีน reverse transcriptase ซึ่งเอชไอวีใช้ในการสร้างไวรัสใหม่ การเปลี่ยนแปลงของโปรตีนนี้อาจส่งผลต่อความสามารถในการจับกับยาต้านไวรัส หรือทำให้ยาต้านไวรัสไม่สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้
การกลายพันธุ์ของโปรตีน reverse transcriptase นั้นเกิดขึ้นได้หลายตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือตำแหน่ง M184V ซึ่งพบได้ประมาณ 30% ของผู้ป่วยเอชไอวีที่ดื้อยาต้านไวรัสประเภท NRTI
ตำแหน่ง M184V อยู่บริเวณตำแหน่งที่ยาต้านไวรัสประเภท NRTI จับกับโปรตีน reverse transcriptase เมื่อเกิดการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่งนี้ จะทำให้ยาต้านไวรัสไม่สามารถจับกับโปรตีน reverse transcriptase ได้ ทำให้ยาต้านไวรัสไม่สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ได้ และส่งผลให้ไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนได้
นอกจากการกลายพันธุ์ของโปรตีน reverse transcriptase แล้ว ยังมีกลไกการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีอื่นๆ ที่สามารถพบได้ เช่น
การกลายพันธุ์ของโปรตีน protease
การกลายพันธุ์ของโปรตีน integrase
การกลายพันธุ์ของโปรตีน gp120 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ไวรัสใช้จับกับเซลล์เม็ดเลือดขาว
การกลายพันธุ์ของโปรตีนเหล่านี้อาจส่งผลต่อความสามารถในการจับกับยาต้านไวรัส หรือทำให้ยาต้านไวรัสไม่สามารถยับยั้งการทำงานของโปรตีนได้ ส่งผลให้ไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนได้
ดังนั้น จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ จึงสรุปได้ว่า ข้อ 1. NRTa เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด เพราะเป็นกลไกการดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวีที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโปรตีน reverse transcriptase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เอชไอวีใช้ในการสร้างไวรัสใหม่ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
|
5. ER stress |
|
เหตุผลคือ ข้ออื่นๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับกลไกการออกฤทธิ์ของยาต้านมะเร็งในลักษณะอื่นๆ ดังนี้
ROS (Reactive Oxygen Species) เป็นอนุมูลอิสระที่เกิดจากกระบวนการเผาผลาญในเซลล์ ยาต้านมะเร็งบางชนิดสามารถกระตุ้นการสร้าง ROS ขึ้นได้ ซึ่ง ROS เหล่านี้จะทำลายเซลล์มะเร็ง
NOO1 (N-Oxygenated Tyrosine 1) เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการตายของเซลล์ ยาต้านมะเร็งบางชนิดสามารถกระตุ้นการสังเคราะห์ NOO1 ขึ้นได้ ซึ่ง NOO1 เหล่านี้จะกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง
MALT2 (Murine double minute 2) เป็นยีนที่กลายพันธุ์ในเซลล์มะเร็งบางชนิด ยาต้านมะเร็งบางชนิดสามารถยับยั้งการทำงานของ MALT2 ได้ ซึ่งจะทำให้เซลล์มะเร็งเหล่านี้ตาย
P53 เป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมความเสียหายของ DNA ในเซลล์ ยาต้านมะเร็งบางชนิดสามารถกระตุ้นการทำงานของ P53 ได้ ซึ่งจะทำให้เซลล์มะเร็งเหล่านี้ตาย
แต่สำหรับข้อ 5. ER Stress นั้น เกี่ยวข้องกับกลไกการออกฤทธิ์ของยาต้านมะเร็งในลักษณะที่แตกต่างออกไป โดย ER Stress เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ไม่สามารถจัดการกับปริมาณโปรตีนที่มากเกินไปได้ ยาต้านมะเร็งบางชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิด ER Stress ขึ้นได้ ซึ่ง ER Stress เหล่านี้จะกระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง
ตัวอย่างยาต้านมะเร็งที่ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นให้เกิด ER Stress ได้แก่ Tamoxifen, Fulvestrant, และ Letrozole ซึ่งยาเหล่านี้ใช้รักษาโรคมะเร็งเต้านม
ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น ผมจึงเลือกข้อ 5. ER Stress เป็นคำตอบ |
เซลล์มะเร็งส่วนใหญ่จะมีความไวต่อฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะจับกับตัวรับเอสโตรเจน (estrogen receptor) บนเซลล์มะเร็ง ซึ่งจะทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตและแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็ว
ยาต้านมะเร็งบางชนิด เช่น Tamoxifen, Fulvestrant, และ Letrozole ออกฤทธิ์โดยจับกับตัวรับเอสโตรเจนบนเซลล์มะเร็งแทนฮอร์โมนเอสโตรเจน เมื่อตัวรับเอสโตรเจนถูกจับด้วยยาต้านมะเร็ง เซลล์มะเร็งก็จะไม่สามารถได้รับสัญญาณจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งจะทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโตและแบ่งตัว
นอกจากนี้ ยาต้านมะเร็งบางชนิดยังสามารถกระตุ้นให้เกิด ER Stress ขึ้นได้อีกด้วย ER Stress เกิดขึ้นเมื่อเซลล์ไม่สามารถจัดการกับปริมาณโปรตีนที่มากเกินไปได้ เซลล์มะเร็งจะมีความไวต่อ ER Stress มากกว่าเซลล์ปกติ เนื่องจากเซลล์มะเร็งจะผลิตโปรตีนออกมาเป็นจำนวนมากกว่าเซลล์ปกติ
เมื่อเซลล์มะเร็งถูกกระตุ้นให้เกิด ER Stress ขึ้น เซลล์มะเร็งก็จะเข้าสู่กระบวนการตายแบบ programmed cell death หรือ apoptosis ซึ่งเป็นกระบวนการตายของเซลล์ตามธรรมชาติ กระบวนการ apoptosis นี้จะส่งผลให้เซลล์มะเร็งถูกทำลายไปในที่สุด
ดังนั้น ยาต้านมะเร็งที่ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นให้เกิด ER Stress จึงถือเป็นแนวทางการรักษามะเร็งที่น่าสนใจ เนื่องจากยาเหล่านี้สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติมากนัก |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
|
1. Enzyme |
|
เป็นกลไกหลักของยาในระบบร่างกาย เพราะเอนไซม์เป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ยาสามารถจับกับเอนไซม์และเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์ได้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เช่น เร่งหรือชะลอปฏิกิริยา เปลี่ยนทิศทางของปฏิกิริยา หรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยา
ในภาพประกอบ แสดงตัวอย่างกลไกการออกฤทธิ์ของยาต้านกรด (antacid) โดยใช้เอนไซม์ที่กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเป็นตัวอย่าง ยาต้านกรดสามารถจับกับเอนไซม์นี้และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ทำให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง ส่งผลให้อาการเสียดท้องและกรดไหลย้อนดีขึ้น
กลไกการออกฤทธิ์ของยาโดยใช้เอนไซม์เป็นกลไกที่พบได้บ่อยในยาหลายชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาลดไขมัน ยาลดความดันโลหิต เป็นต้น |
กลไกการออกฤทธิ์ของยาเป็นกระบวนการที่ยามีปฏิกิริยากับเซลล์หรืออวัยวะในร่างกาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคหรืออาการของผู้ป่วย
กลไกการออกฤทธิ์ของยาสามารถจำแนกได้เป็น 5 ประเภทหลักๆ ดังนี้
ปฏิกิริยากับเอนไซม์ (Enzyme inhibition or activation)
เอนไซม์เป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ยาสามารถจับกับเอนไซม์และเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์ได้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เช่น เร่งหรือชะลอปฏิกิริยา เปลี่ยนทิศทางของปฏิกิริยา หรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยา
ตัวอย่างเช่น ยาต้านกรดสามารถจับกับเอนไซม์ที่กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารลดลง ส่งผลให้อาการเสียดท้องและกรดไหลย้อนดีขึ้น
การจับกับตัวรับ (Receptor binding)
ตัวรับ (receptor) เป็นโปรตีนที่อยู่บนเซลล์ ทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณจากภายนอกเซลล์ เช่น ฮอร์โมน ยา หรือสารสื่อประสาท เมื่อยาจับกับตัวรับ จะทำให้เซลล์ตอบสนองต่อยาได้
ตัวอย่างเช่น ยาต้านอาการปวดสามารถจับกับตัวรับในสมอง ส่งผลให้สมองลดความรู้สึกเจ็บปวด
การแทรกซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ (Passive diffusion or facilitated diffusion)
ยาบางชนิดสามารถแทรกซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้ตัวพาหรือพลังงาน ตัวอย่างเช่น ยาชาสามารถแทรกซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ระงับการทำงานของประสาทได้
การกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานของเซลล์ (Cellular activation or inhibition)
ยาบางชนิดสามารถกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานของเซลล์โดยตรง เช่น ยาฮอร์โมนสามารถกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานของต่อมต่างๆ ในร่างกาย
การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเซลล์ (Cellular modification)
ยาบางชนิดสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเซลล์ได้ เช่น ยาเคมีบำบัดสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้
การเลือกกลไกการออกฤทธิ์ของยาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับชนิดของยาและเป้าหมายของการรักษา ตัวอย่างเช่น ยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในเซลล์ของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียตาย ยาลดไขมันออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ย่อยไขมัน ทำให้ระดับไขมันในเลือดลดลง ยาแก้ปวดออกฤทธิ์จับกับตัวรับในสมอง ทำให้สมองลดความรู้สึกเจ็บปวด เป็นต้น
จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ ในภาพประกอบ ผมจะเลือก ข้อ 1: ปฏิกิริยากับเอนไซม์ เป็นกลไกหลักของยาในระบบร่างกาย เพราะเอนไซม์เป็นโปรตีนที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ยาสามารถจับกับเอนไซม์และเปลี่ยนแปลงการทำงานของเอนไซม์ได้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เช่น เร่งหรือชะลอปฏิกิริยา เปลี่ยนทิศทางของปฏิกิริยา หรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยา
กลไกการออกฤทธิ์โดยใช้เอนไซม์เป็นกลไกที่พบได้บ่อยในยาหลายชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาลดไขมัน ยาลดความดันโลหิต เป็นต้น
ตัวเลือกอื่นๆ ก็เป็นกลไกการออกฤทธิ์ของยาได้เช่นกัน แต่มักพบได้น้อยกว่ากลไกการออกฤทธิ์โดยใช้เอนไซม์ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
|
5. CCB |
|
จากภาพแสดงวัฏจักรชีวิตของไวรัสเอชไอวี จะเห็นได้ว่ายาต้านไวรัสจะทํางานโดยการยับยั้งการทํางานของเอนไซม์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรชีวิตของไวรัส ส่งผลให้ไวรัสไม่สามารถทําการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและแพร่กระจายต่อไปได้ ไม่ได้ทําให้ไวรัสตาย
ดังนั้น ตัวเลือกที่ ไม่เกี่ยวข้องกับการทํางานของยาต้านไวรัส คือ ข้อที่ 5 ที่ว่า "ยาต้านไวรัสจะทําให้ไวรัสตาย"
ข้ออื่นๆ ที่เหลือล้วนเกี่ยวข้องกับการทํางานของยาต้านไวรัส โดยสรุปได้ดังนี้
ข้อที่ 1 ที่ว่า "ยาต้านไวรัสจะทําให้ไวรัสไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้" ถูกต้อง เนื่องจากยาต้านไวรัสบางชนิดจะทํางานโดยการยับยั้งการจับยึดของไวรัสกับเซลล์เป้าหมาย
ข้อที่ 2 ที่ว่า "ยาต้านไวรัสจะทําให้ไวรัสไม่สามารถทําการคัดลอกดีเอ็นเอได้" ถูกต้อง เนื่องจากยาต้านไวรัสบางชนิดจะทํางานโดยการยับยั้งเอนไซม์ reverse transcriptase ซึ่งทําหน้าที่คัดลอกดีเอ็นเอของไวรัสจากอาร์เอ็นเอ
ข้อที่ 3 ที่ว่า "ยาต้านไวรัสจะทําให้ไวรัสไม่สามารถประกอบชิ้นส่วนตัวเองได้" ถูกต้อง เนื่องจากยาต้านไวรัสบางชนิดจะทํางานโดยการยับยั้งเอนไซม์ protease ซึ่งทําหน้าที่ประกอบชิ้นส่วนของไวรัสเข้าด้วยกัน
ข้อที่ 4 ที่ว่า "ยาต้านไวรัสจะทําให้ไวรัสไม่สามารถหลั่งออกจากเซลล์ได้" ถูกต้อง เนื่องจากยาต้านไวรัสบางชนิดจะทํางานโดยการยับยั้งเอนไซม์ integrase ซึ่งทําหน้าที่แทรกซึมดีเอ็นเอของไวรัสเข้าไปในดีเอ็นเอของเซลล์เป้าหมาย
ดังนั้น ตัวเลือกที่ ไม่เกี่ยวข้องกับการทํางานของยาต้านไวรัส คือ ข้อที่ 5 ที่ว่า "ยาต้านไวรัสจะทําให้ไวรัสตาย" |
|
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
|
1. Beta blockers |
|
เลือกข้อ 1. ยับยั้งการหลั่ง renin เป็นคำตอบ เพราะข้อนี้มีข้อมูลตรงกับภาพมากที่สุด โดยภาพแสดงถึงยาลดความดันโลหิตในกลุ่ม beta-blockers ซึ่งทำหน้าที่ยับยั้งการหลั่ง renin จากไต ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการหลั่ง aldosterone จากต่อมหมวกไต aldosterone ทำหน้าที่กระตุ้นการดูดกลับโซเดียมจากไต ทำให้เลือดมีปริมาณเพิ่มขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น ดังนั้นการยับยั้งการหลั่ง renin จึงเป็นกลไกการออกฤทธิ์ของยาลดความดันโลหิตในกลุ่ม beta-blockers ที่ช่วยลดความดันโลหิตได้ |
ยาลดความดันโลหิตในกลุ่ม beta-blockers ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของตัวรับเบต้า (beta receptor) ซึ่งพบได้ในเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงเซลล์หัวใจและเซลล์กล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด
เมื่อตัวรับเบต้าถูกกระตุ้นจะส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น แรงบีบตัวของหัวใจเพิ่มขึ้น และหลอดเลือดหดตัว ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
ยาลดความดันโลหิตในกลุ่ม beta-blockers ทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของตัวรับเบต้า ทำให้หัวใจเต้นช้าลง แรงบีบตัวของหัวใจลดลง และหลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง
กลไกการออกฤทธิ์ของยาลดความดันโลหิตในกลุ่ม beta-blockers นั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ ดังนี้
กลุ่มที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อตัวรับเบต้า-1 (beta-1 selective beta-blockers) ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของตัวรับเบต้า-1 ซึ่งพบได้มากในหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลงและแรงบีบตัวของหัวใจลดลง ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลง
กลุ่มที่ออกฤทธิ์ไม่จำเพาะต่อตัวรับเบต้า (non-selective beta-blockers) ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของตัวรับเบต้าทั้ง 2 ชนิด ได้แก่ ตัวรับเบต้า-1 และตัวรับเบต้า-2 ซึ่งพบได้ในหัวใจและหลอดเลือด
สำหรับตัวเลือกในคำถาม ตัวเลือกที่ 1 ระบุว่ายาลดความดันโลหิตในกลุ่ม beta-blockers ยับยั้งการหลั่ง renin จากไต ซึ่งสอดคล้องกับกลไกการออกฤทธิ์ของยาในกลุ่ม beta-blockers ที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงบางชนิด โดยยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่ง renin จากไต ซึ่งจะส่งผลให้ aldosterone หลั่งออกมาน้อยลง aldosterone เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการดูดกลับโซเดียมจากไต ทำให้เลือดมีปริมาณเพิ่มขึ้นและความดันโลหิตสูงขึ้น ดังนั้นการยับยั้งการหลั่ง aldosterone จึงช่วยลดความดันโลหิตได้ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
|
1. CBF |
|
ตัวเลือก 1. CBF อธิบายถึงกลไกการทำงานของยาที่ตรงกับข้อความในภาพมากที่สุด โดยยาจะยับยั้งการทำงานของตัวรับ HER2 บนเซลล์มะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตและแบ่งตัวได้
ตัวเลือกอื่นๆ ไม่อธิบายถึงกลไกการทำงานของยาที่ตรงกับข้อความในภาพ เช่น
ตัวเลือก 2. CBG อธิบายถึงกลไกการทำงานของยาที่ยับยั้งการทำงานของตัวรับ EGFR บนเซลล์มะเร็ง ซึ่งไม่ใช่ตัวรับที่กล่าวถึงในภาพ
ตัวเลือก 3. CBL อธิบายถึงกลไกการทำงานของยาที่ยับยั้งการทำงานของโปรตีน CBL ซึ่งไม่ใช่โปรตีนที่กล่าวถึงในภาพ
ตัวเลือก 4. CBS อธิบายถึงกลไกการทำงานของยาที่ยับยั้งการทำงานของโปรตีน CBS ซึ่งไม่ใช่โปรตีนที่กล่าวถึงในภาพ
ตัวเลือก 5. CBA ไม่อธิบายถึงกลไกการทำงานของยาอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ จากข้อมูลเว็บเพจที่ให้มา พบว่ายาที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง HER2-positive มักใช้ยาที่ยับยั้งการทำงานของตัวรับ HER2 เช่น ทรีโสเตอิน (trastuzumab) และแลพาตินิบ (lapatinib) ซึ่งสอดคล้องกับกลไกการทำงานของยาที่อธิบายไว้ในตัวเลือก 1. CBF
ดังนั้น ผมจึงสรุปได้ว่า ตัวเลือก 1. CBF เป็นคำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุดสำหรับคำถามนี้ |
อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลไกการทำงานของยาที่ยับยั้งการทำงานของตัวรับ HER2 บนเซลล์มะเร็ง ดังนี้
ตัวรับ HER2 เป็นโปรตีนที่พบอยู่บนเซลล์มะเร็ง HER2-positive โดยตัวรับนี้ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตและแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ยาที่ยับยั้งการทำงานของตัวรับ HER2 จะทำหน้าที่จับกับตัวรับ HER2 ทำให้ตัวรับไม่สามารถส่งสัญญาณได้ตามปกติ ส่งผลให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตและแบ่งตัวได้
กลไกการทำงานของยาที่ยับยั้งการทำงานของตัวรับ HER2 มีหลายวิธี โดยวิธีที่พบบ่อย ได้แก่
ยาแอนติบอดี (antibody) ยาประเภทนี้จะทำหน้าที่จับกับตัวรับ HER2 โดยตรง ทำให้ตัวรับไม่สามารถส่งสัญญาณได้
ยายับยั้งไทโรซีนไคเนส (tyrosine kinase inhibitor) ยาประเภทนี้จะทำหน้าที่ยับยั้งการทำงานของไทโรซีนไคเนส ซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ภายในตัวรับ HER2 และทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตและแบ่งตัว ยาประเภทนี้จึงมีผลยับยั้งการทำงานของตัวรับ HER2 เช่นกัน
ยาที่ยับยั้งการทำงานของตัวรับ HER2 เป็นยารักษาโรคมะเร็ง HER2-positive ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง HER2-positive ได้ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
|
1. PCP |
|
เป็นคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด เพราะจากข้อมูลในตาราง พบว่า PCP เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบในสิ่งแวดล้อมบ่อยที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก Bisphenol A ทั้งในน้ำดื่ม น้ำเสีย ดิน และอากาศ นอกจากนี้ยังเป็นสารประกอบที่มีลักษณะเป็นพิษต่อระบบประสาท ไต และตับอีกด้วย
ข้อ 2. PCE เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบในสิ่งแวดล้อมบ่อยครั้งเช่นกัน แต่มักพบร่วมกับ PCP และสารประกอบอินทรีย์อื่นๆ เช่น PCBs และ PAHs ซึ่งสารประกอบเหล่านี้มักพบในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและสารทาสี
ข้อ 3. PDA เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบในสิ่งแวดล้อมค่อนข้างน้อย และมักพบในผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล เช่น แชมพู สบู่ และโลชั่น
ข้อ 4. YAS เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบในสิ่งแวดล้อมค่อนข้างน้อย และมักพบในผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เช่น ยาแก้ปวดและยาต้านไวรัส
ข้อ 5. EDP เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบในสิ่งแวดล้อมค่อนข้างน้อย และมักพบในผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม เช่น น้ำหอมและเครื่องสำอาง
ดังนั้น จากข้อมูลข้างต้น ผมจึงสรุปว่าข้อ 1. PCP เป็นคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด |
จากข้อมูลในตาราง พบว่า PCP เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่พบในสิ่งแวดล้อมบ่อยที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจาก Bisphenol A ทั้งในน้ำดื่ม น้ำเสีย ดิน และอากาศ ซึ่งหมายความว่า PCP แพร่กระจายไปในสิ่งแวดล้อมได้อย่างกว้างขวาง และมีโอกาสสัมผัสกับมนุษย์ได้ง่ายกว่าสารประกอบอินทรีย์อื่นๆ ในตัวเลือก
นอกจากนี้ PCP ยังเป็นสารประกอบที่มีลักษณะเป็นพิษต่อระบบประสาท ไต และตับอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับคำอธิบายในโจทย์ที่ระบุว่าสารประกอบอินทรีย์ดังกล่าวมีฤทธิ์เป็นพิษต่อมนุษย์
ดังนั้น จากข้อมูลข้างต้น จึงสรุปได้ว่า PCP เป็นคำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
หากพิจารณาจากข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม ก็สามารถช่วยสนับสนุนข้อสรุปนี้ได้ เช่น
PCP เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มักพบในผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และสารเคมีการเกษตร ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมได้
PCP เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มักพบในแหล่งน้ำเสีย ซึ่งอาจเกิดจากการปนเปื้อนจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือแหล่งชุมชน
หากมีข้อมูลเหล่านี้เพิ่มเติม ก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคำตอบได้ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
|
5. SGLT-2 |
|
จากข้อมูลในภาพ ตัวเลือกที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีที่สุดคือ ยากลุ่ม SGLT-2 inhibitors เนื่องจากยากลุ่มนี้สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยการยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสที่ลำไส้เล็ก ซึ่งทำให้น้ำตาลกลูโคสถูกขับออกทางปัสสาวะมากกว่าที่จะเข้าสู่กระแสเลือด
ยากลุ่ม SGLT-2 inhibitors มีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสูงเทียบเท่ากับยาฉีดอินซูลิน และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาฉีดอินซูลิน เช่น ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
ดังนั้น ถ้าให้เลือกตอบสักข้อจากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ ผมจะเลือก ข้อ 5: SGLT-2 Inhibitors เป็นยารักษาโรคเบาหวานที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม การเลือกยารักษาโรคเบาหวานควรขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย อาการของผู้ป่วย โรคประจำตัวของผู้ป่วย และผลข้างเคียงที่ผู้ป่วยอาจได้รับจากยา ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกยารักษาโรคเบาหวานที่เหมาะสมกับตนเอง |
ยารักษาโรคเบาหวานมีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดที่แตกต่างกันด้วย
จากข้อมูลในภาพ ตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ มีกลไกการออกฤทธิ์ดังนี้
ข้อ 1: Insulin เป็นยาฉีดอินซูลิน ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการดูดซึมกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์
ข้อ 2: Sulfonylureas เป็นยารับประทานที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน
ข้อ 3: Meglitinides เป็นยารับประทานที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเช่นกัน
ข้อ 4: DPP-4 inhibitors เป็นยารับประทานที่ยับยั้งการย่อยสลายของอินซูลินในร่างกาย ทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้นานขึ้น
ข้อ 5: SGLT-2 inhibitors เป็นยารับประทานที่ยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสที่ลำไส้เล็ก
จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่ายากลุ่ม SGLT-2 inhibitors มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีที่สุด เนื่องจากยากลุ่มนี้สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยตรง โดยยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสที่ลำไส้เล็ก ซึ่งทำให้น้ำตาลกลูโคสถูกขับออกทางปัสสาวะมากกว่าที่จะเข้าสู่กระแสเลือด
ยากลุ่ม SGLT-2 inhibitors มีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสูงเทียบเท่ากับยาฉีดอินซูลิน และมีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาฉีดอินซูลิน เช่น ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ ยากลุ่ม SGLT-2 inhibitors ยังมีประโยชน์อื่น ๆ นอกเหนือไปจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไต และอาจช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ
ดังนั้น ถ้าให้เลือกตอบสักข้อจากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ ผมจะเลือก ข้อ 5: SGLT-2 Inhibitors เป็นยารักษาโรคเบาหวานที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม การเลือกยารักษาโรคเบาหวานควรขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย อาการของผู้ป่วย โรคประจำตัวของผู้ป่วย และผลข้างเคียงที่ผู้ป่วยอาจได้รับจากยา ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกยารักษาโรคเบาหวานที่เหมาะสมกับตนเอง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
|
3. α-glucosidase inhibitors |
|
เหตุผลหลักคือ A-Glucosidase Inhibitors ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ α-glucosidase ในลำไส้เล็ก ซึ่งเอนไซม์นี้มีหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเล็ก ๆ ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้
เมื่อเอนไซม์ α-glucosidase ถูกยับยั้ง จะทำให้คาร์โบไฮเดรตถูกย่อยได้ช้าลง ส่งผลให้น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ ๆ เข้าสู่กระแสเลือดช้าลงด้วย
การที่น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ ๆ เข้าสู่กระแสเลือดช้าลงนี้ ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย
นอกจากนี้ ยา A-Glucosidase Inhibitors ยังอาจทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารมีอาการแย่ลงได้ เช่น ท้องผูก ปวดท้อง และกรดไหลย้อน
ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา A-Glucosidase Inhibitors ยกเว้นในกรณีที่แพทย์พิจารณาแล้วว่าจำเป็น |
อธิบายเพิ่มเติมจากคำอธิบายข้างต้น
A-Glucosidase Inhibitors ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ α-glucosidase ในลำไส้เล็ก ซึ่งเอนไซม์นี้มีหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาลโมเลกุลเล็ก ๆ ที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้
เมื่อเอนไซม์ α-glucosidase ถูกยับยั้ง จะทำให้คาร์โบไฮเดรตถูกย่อยได้ช้าลง ส่งผลให้น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ ๆ เข้าสู่กระแสเลือดช้าลงด้วย
การที่น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ ๆ เข้าสู่กระแสเลือดช้าลงนี้ ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสีย
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้คือ น้ำตาลโมเลกุลใหญ่ ๆ ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ จึงสะสมอยู่ในลำไส้เล็ก ส่งผลให้ลำไส้เกิดอาการบวม บีบตัวผิดปกติ และเกิดแก๊สในลำไส้มากขึ้น ทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียได้
นอกจากนี้ ยา A-Glucosidase Inhibitors ยังอาจทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ที่อาจทำให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารมีอาการแย่ลงได้ เช่น ท้องผูก ปวดท้อง และกรดไหลย้อน
อาการเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว รับประทานอาหารได้น้อยลง และอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้
ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา A-Glucosidase Inhibitors ยกเว้นในกรณีที่แพทย์พิจารณาแล้วว่าจำเป็น
ตัวอย่างยา A-Glucosidase Inhibitors ได้แก่
Acarbose
Miglitol
Voglibose
ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการย่อยอาหารควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาใด ๆ เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Amphiphilic polymers
|
4. CZL-80 |
|
จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ ตัวเลือกที่ถูกต้องคือ ข้อ 1, 2, และ 3 ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ Amphiphilic polymers
ข้อ 1 Micelles คือโครงสร้างที่เกิดจาก amphiphilic polymers โดยส่วน hydrophobe จะรวมตัวกันอยู่ตรงกลาง ส่วน hydrophile จะรวมตัวกันอยู่ด้านนอก
ข้อ 2 Hydrophobic Core คือส่วนตรงกลางของ micelles ที่ประกอบด้วยส่วน hydrophobe ของ amphiphilic polymers
ข้อ 3 Hydrophilic Shell คือส่วนด้านนอกของ micelles ที่ประกอบด้วยส่วน hydrophile ของ amphiphilic polymers
Amphiphilic polymers มีคุณสมบัติพิเศษคือ มีส่วน hydrophobe และ hydrophile อยู่ด้วยกัน ทำให้สามารถรวมตัวกับสารทั้งสองประเภทได้ คุณสมบัตินี้ทำให้ Amphiphilic polymers สามารถใช้ในระบบยาส่งยาได้
ในระบบยาส่งยา Amphiphilic polymers สามารถใช้เป็นสารนำส่งยา (drug carrier) โดยนำยาไปจับกับส่วน hydrophobe ของ Amphiphilic polymers จากนั้น Amphiphilic polymers จะรวมตัวกันเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น micelles, vesicles, หรือ liposomes รูปทรงเหล่านี้จะช่วยให้ยาสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของร่างกายได้ง่ายขึ้น |
ข้อ 1 Micelles คือโครงสร้างที่เกิดจาก amphiphilic polymers โดยส่วน hydrophobe จะรวมตัวกันอยู่ตรงกลาง ส่วน hydrophile จะรวมตัวกันอยู่ด้านนอก
Amphiphilic polymers มีคุณสมบัติพิเศษคือ มีส่วน hydrophobe และ hydrophile อยู่ด้วยกัน ทำให้สามารถรวมตัวกับสารทั้งสองประเภทได้ คุณสมบัตินี้ทำให้ Amphiphilic polymers สามารถใช้ในระบบยาส่งยาได้
ในระบบยาส่งยา Amphiphilic polymers สามารถใช้เป็นสารนำส่งยา (drug carrier) โดยนำยาไปจับกับส่วน hydrophobe ของ Amphiphilic polymers จากนั้น Amphiphilic polymers จะรวมตัวกันเป็นรูปทรงต่างๆ เช่น micelles, vesicles, หรือ liposomes รูปทรงเหล่านี้จะช่วยให้ยาสามารถผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ของร่างกายได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น ข้อ 1 จึงถูกต้อง เนื่องจากอธิบายถึงโครงสร้างของ micelles ซึ่งเกิดจาก amphiphilic polymers และมีส่วน hydrophobe และ hydrophile อยู่ร่วมกัน
ข้อ 2 Hydrophobic Core คือส่วนตรงกลางของ micelles ที่ประกอบด้วยส่วน hydrophobe ของ amphiphilic polymers
ข้อนี้อธิบายถึงส่วน hydrophobe ของ micelles ซึ่งตรงกับข้อ 1 อยู่แล้ว ดังนั้น ข้อ 2 จึงถูกต้องเช่นกัน
ข้อ 3 Hydrophilic Shell คือส่วนด้านนอกของ micelles ที่ประกอบด้วยส่วน hydrophile ของ amphiphilic polymers
ข้อนี้อธิบายถึงส่วน hydrophile ของ micelles ซึ่งตรงกับข้อ 1 อยู่แล้ว ดังนั้น ข้อ 3 จึงถูกต้องเช่นกัน
ข้อ 4 CZL-80 คือชื่อของสารประกอบ amphiphilic polymers ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า CZL-80 เกี่ยวข้องกับระบบยาส่งยาอย่างไร ดังนั้น ข้อ 4 จึงเป็นข้อที่ผิด
ข้อนี้กล่าวถึง CZL-80 ซึ่งเป็นสารประกอบ amphiphilic polymers ชนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้อธิบายว่า CZL-80 เกี่ยวข้องกับระบบยาส่งยาอย่างไร ดังนั้น ข้อ 4 จึงไม่ใช่ข้อที่ถูกต้องในการตอบคำถามนี้
ข้อ 5 มีข้อผิดมากกว่า 1 ข้อ ข้อนี้ถูกต้อง แต่ไม่จำเป็นต้องเลือกข้อนี้ เนื่องจากคำตอบของข้อ 10 อยู่แล้วว่า ข้อที่ถูกต้องคือ ข้อ 1, 2, และ 3
ข้อนี้กล่าวถึงข้อที่ผิดมากกว่า 1 ข้อ ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริง แต่ไม่จำเป็นต้องเลือกข้อนี้ เนื่องจากคำตอบของข้อ 10 อยู่แล้วว่า ข้อที่ถูกต้องคือ ข้อ 1, 2, และ 3 ดังนั้น ข้อ 5 จึงไม่ใช่ข้อที่ถูกต้องในการตอบคำถามนี้
สรุปแล้ว ตัวเลือกที่ถูกต้องในการตอบคำถามนี้คือ ข้อ 1, 2, และ 3 เนื่องจากข้อเหล่านี้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ Amphiphilic polymers และสามารถนำมาใช้ในระบบยาส่งยาได้ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ DREs
|
3. hallucinogens |
|
DRES ย่อมาจาก Drug-resistant epilepsy syndrome เป็นกลุ่มอาการของโรคลมชักที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยากันชักแบบมาตรฐาน อาการของ DRES มักรุนแรงและอาจทำให้ผู้ป่วยพิการหรือเสียชีวิตได้
Hallucinogens เป็นสารเสพติดที่ทำให้เกิดภาพหลอน ประสาทหลอน และการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สารเสพติดประเภทนี้มักใช้ในทางสันทนาการ แต่อาจถูกนำไปใช้เพื่อรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคจิตเภทและโรคซึมเศร้า
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า Hallucinogens ไม่ได้ถูกนำมาใช้รักษาโรคลมชัก ดังนั้นจึง ไม่เกี่ยวข้องกับ DRES
เหตุผลสนับสนุนเพิ่มเติมคือ Hallucinogens มักทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ประสาทหลอนถาวร โรคจิตเภท และอาการทางจิตอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วย DRES มีอาการแย่ลงได้
ดังนั้น คำตอบของคำถามคือ Hallucinogens |
ตัวเลือกที่ ไม่เกี่ยวข้องกับ DRES คือ Hallucinogens
DRES ย่อมาจาก Drug-resistant epilepsy syndrome เป็นกลุ่มอาการของโรคลมชักที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยากันชักแบบมาตรฐาน อาการของ DRES มักรุนแรงและอาจทำให้ผู้ป่วยพิการหรือเสียชีวิตได้
Hallucinogens เป็นสารเสพติดที่ทำให้เกิดภาพหลอน ประสาทหลอน และการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ สารเสพติดประเภทนี้มักใช้ในทางสันทนาการ แต่อาจถูกนำไปใช้เพื่อรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคจิตเภทและโรคซึมเศร้า
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า Hallucinogens ไม่ได้ถูกนำมาใช้รักษาโรคลมชัก ดังนั้นจึง ไม่เกี่ยวข้องกับ DRES
เหตุผลสนับสนุนเพิ่มเติมคือ Hallucinogens มักทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ประสาทหลอนถาวร โรคจิตเภท และอาการทางจิตอื่นๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วย DRES มีอาการแย่ลงได้
คำอธิบายเพิ่มเติม
Hallucinogens มักทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประสาทสัมผัส เช่น ภาพหลอน ประสาทหลอน และการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วย DRES มีอาการแย่ลงได้ เช่น
ภาพหลอนอาจทำให้ผู้ป่วยสับสนและวิตกกังวล
ประสาทหลอนอาจทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการรับรู้ถึงความเป็นจริง
การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาจทำให้ผู้ป่วยอารมณ์แปรปรวนและก้าวร้าว
นอกจากนี้ Hallucinogens ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ และปัญหาการมองเห็น ผลข้างเคียงเหล่านี้อาจทำให้ผู้ป่วย DRES มีอาการแย่ลงได้เช่นกัน
ดังนั้น การใช้ Hallucinogens เพื่อรักษา DRES จึงอาจไม่ปลอดภัยและอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงได้ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
Scientific study of the properties of toxins คืออะไร
|
1. Toxicology |
|
เพราะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของสารพิษโดยตรง โดยครอบคลุมตั้งแต่การจำแนกประเภทของสารพิษ กลไกการออกฤทธิ์ของสารพิษ อาการพิษ การรักษาพิษ และการป้องกันพิษ เป็นต้น
ตัวเลือกอื่นๆ นั้นอาจเกี่ยวข้องหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาคุณสมบัติของสารพิษเช่นกัน แต่ไม่ได้ครอบคลุมทุกประเด็นที่ศาสตร์พิษวิทยาศึกษา เช่น
Environment ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ครอบคลุมถึงกลไกการออกฤทธิ์ของสารพิษต่อสิ่งมีชีวิต
Biology ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป แต่ไม่ครอบคลุมถึงผลกระทบของสารพิษต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะ
Geology ศึกษาเกี่ยวกับโลกและกระบวนการทางธรณีวิทยา แต่ไม่ครอบคลุมถึงผลกระทบของสารพิษต่อโลก
Geography ศึกษาเกี่ยวกับโลกและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ครอบคลุมถึงผลกระทบของสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น หากให้เลือกตอบสักข้อจากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ คำตอบที่ถูกต้องที่สุดคือ Toxicology |
พิษวิทยา (Toxicology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของสารพิษต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยครอบคลุมตั้งแต่การจำแนกประเภทของสารพิษ กลไกการออกฤทธิ์ของสารพิษ อาการพิษ การรักษาพิษ และการป้องกันพิษ เป็นต้น
จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ ตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดคือ Toxicology เพราะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของสารพิษโดยตรง โดยครอบคลุมตั้งแต่การจำแนกประเภทของสารพิษ กลไกการออกฤทธิ์ของสารพิษ อาการพิษ การรักษาพิษ และการป้องกันพิษ เป็นต้น
ตัวเลือกอื่นๆ นั้นอาจเกี่ยวข้องหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาคุณสมบัติของสารพิษเช่นกัน แต่ไม่ได้ครอบคลุมทุกประเด็นที่ศาสตร์พิษวิทยาศึกษา เช่น
Environment ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ครอบคลุมถึงกลไกการออกฤทธิ์ของสารพิษต่อสิ่งมีชีวิต
Biology ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป แต่ไม่ครอบคลุมถึงผลกระทบของสารพิษต่อสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะ
Geology ศึกษาเกี่ยวกับโลกและกระบวนการทางธรณีวิทยา แต่ไม่ครอบคลุมถึงผลกระทบของสารพิษต่อโลก
Geography ศึกษาเกี่ยวกับโลกและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ครอบคลุมถึงผลกระทบของสารพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น หากให้เลือกตอบสักข้อจากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ คำตอบที่ถูกต้องที่สุดคือ Toxicology
ตัวอย่างการอธิบายเพิ่มเติม
คำว่า Toxicology มาจากคำว่า toxicos ในภาษากรีก แปลว่า "พิษ" และคำว่า logos แปลว่า "การศึกษา" ดังนั้น Toxicology จึงหมายถึง "การศึกษาเกี่ยวกับพิษ"
ศาสตร์พิษวิทยามีบทบาทสำคัญต่อสังคมในหลายด้าน เช่น การสาธารณสุข การอุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และกฎหมาย เป็นต้น
สรุป
ตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามนี้คือ Toxicology เพราะเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของสารพิษโดยตรง โดยครอบคลุมตั้งแต่การจำแนกประเภทของสารพิษ กลไกการออกฤทธิ์ของสารพิษ อาการพิษ การรักษาพิษ และการป้องกันพิษ เป็นต้น |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ Drug research in cancer
|
3. Personalized treatment |
|
เพราะข้อนี้เกี่ยวข้องกับการวิจัยยารักษามะเร็งมากที่สุด โดยมุ่งเน้นไปที่การรักษามะเร็งของแต่ละบุคคล โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของมะเร็ง ความรุนแรงของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เป็นต้น
ข้อ 1. Targeted Treatments เกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า โดยการใช้ยาหรือโมเลกุลอื่นๆ เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะเป้าหมาย
ข้อ 2. Cancer Onset เกี่ยวข้องกับสาเหตุของโรคมะเร็ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม ไลฟ์สไตล์ เป็นต้น
ข้อ 4. Less Effective Treatments เกี่ยวข้องกับการรักษามะเร็งที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจรวมถึงการรักษาแบบเดิมที่มักใช้กันในปัจจุบัน เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี และเคมีบำบัด
ข้อ 5. Prevention Strategies เกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคมะเร็ง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ จะเห็นได้ว่าข้อ 3. Personalized Treatment เกี่ยวข้องกับการวิจัยยารักษามะเร็งโดยตรงมากที่สุด โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน เนื่องจากโรคมะเร็งเป็นโรคที่มีความรุนแรงและอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ดังนั้น การพัฒนาการรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลจึงมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้มากที่สุด
นอกจากนี้ ข้อ 3. Personalized Treatment ยังมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นแนวทางหลักในการวิจัยยารักษามะเร็งในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีและความรู้ทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถระบุเป้าหมายการรักษามะเร็งของแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น |
การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคล (Precision Medicine) เป็นแนวทางการรักษามะเร็งที่มุ่งเน้นไปที่การรักษามะเร็งของแต่ละบุคคล โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของมะเร็ง ความรุนแรงของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เป็นต้น
การรักษามะเร็งแบบเดิมมักใช้ยาหรือวิธีการรักษาแบบเดียวกันสำหรับผู้ป่วยทุกคน ซึ่งอาจทำให้การรักษามีประสิทธิภาพไม่เต็มที่ เนื่องจากเซลล์มะเร็งแต่ละชนิดมีความแตกต่างและตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนั้น การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษามะเร็งและช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย
ปัจจุบัน การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการค้นพบเป้าหมายการรักษามะเร็งใหม่ๆ อยู่เสมอ เช่น ยีน โปรตีน โมเลกุล เป็นต้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีทางการแพทย์ก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถตรวจหาเป้าหมายการรักษามะเร็งของแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ตัวอย่างของการรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคล ได้แก่
การรักษาด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) โดยการใช้ยาที่ออกแบบมาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะเป้าหมาย
การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) โดยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยทำลายเซลล์มะเร็ง
การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นแนวทางหลักในการวิจัยยารักษามะเร็งในอนาคต เนื่องจากมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้มากที่สุด
ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่ดิฉันเลือกข้อ 3. Personalized Treatment สำหรับการวิจัยยารักษามะเร็ง
การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลเป็นแนวทางการรักษาที่มุ่งเน้นไปที่การรักษามะเร็งของแต่ละบุคคล โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของมะเร็ง ความรุนแรงของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน เนื่องจากโรคมะเร็งเป็นโรคที่มีความรุนแรงและอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ดังนั้น การพัฒนาการรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลจึงมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยได้มากที่สุด
การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลยังมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นแนวทางหลักในการวิจัยยารักษามะเร็งในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีและความรู้ทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถระบุเป้าหมายการรักษามะเร็งของแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ดิฉันเชื่อว่า การรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคลเป็นแนวทางการวิจัยยารักษามะเร็งที่มีความสำคัญและมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
ข้อใดเกี่ยวไม่ข้องกับ Environmental toxicology
|
5. All |
|
ถ้าให้เลือกตอบสักข้อจากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อในภาพ ผมจะเลือกข้อ All เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (Environmental toxicology) นั้นเกี่ยวข้องกับสารมลพิษทุกประเภทที่กล่าวไว้ในตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ
Solvent pollutants หรือสารระเหย เช่น เบนซิน ทินเนอร์ สารทำความสะอาด สารเหล่านี้สามารถปนเปื้อนอากาศ น้ำ ดิน และอาหารได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด
Inorganic pollutants หรือสารอนินทรีย์ เช่น สารหนู ตะกั่ว ปรอท สารเหล่านี้สามารถปนเปื้อนแหล่งน้ำ ดิน และอากาศได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคโลหิตจาง โรคไต โรคสมอง
Pesticides หรือสารกำจัดศัตรูพืช เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า สารเหล่านี้สามารถปนเปื้อนดิน น้ำ และพืชผลได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ โรคระบบประสาท
Biological agents หรือสารชีวภาพ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา สารเหล่านี้สามารถปนเปื้อนอาหาร น้ำ และอากาศได้ และอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคท้องร่วง โรคหวัด โรคปอดบวม
ดังนั้น สารมลพิษทุกประเภทที่กล่าวไว้ในตัวเลือกทั้ง 5 ข้อนี้ล้วนเป็นสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษทั้งสิ้น และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ได้
นอกจากนี้ ตัวเลือก All ยังเป็นคำตอบที่ครอบคลุมที่สุด เพราะไม่จำกัดเฉพาะสารมลพิษประเภทใดประเภทหนึ่ง แต่ครอบคลุมสารมลพิษทุกประเภทที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษได้ |
สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ (Environmental toxicology) คือการศึกษาผลกระทบของสารมลพิษต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม สารมลพิษคือสารใดๆ ที่ปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
สารมลพิษสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะทางกายภาพ องค์ประกอบทางเคมี และแหล่งกำเนิด ตัวเลือกทั้ง 5 ข้อในภาพนี้อธิบายถึงประเภทของสารมลพิษที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
Solvent pollutants หรือสารระเหย เช่น เบนซิน ทินเนอร์ สารทำความสะอาด สารเหล่านี้สามารถปนเปื้อนอากาศ น้ำ ดิน และอาหารได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด
Inorganic pollutants หรือสารอนินทรีย์ เช่น สารหนู ตะกั่ว ปรอท สารเหล่านี้สามารถปนเปื้อนแหล่งน้ำ ดิน และอากาศได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคโลหิตจาง โรคไต โรคสมอง
Pesticides หรือสารกำจัดศัตรูพืช เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า สารเหล่านี้สามารถปนเปื้อนดิน น้ำ และพืชผลได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคภูมิแพ้ โรคระบบประสาท
Biological agents หรือสารชีวภาพ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา สารเหล่านี้สามารถปนเปื้อนอาหาร น้ำ และอากาศได้ และอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคท้องร่วง โรคหวัด โรคปอดบวม
ดังนั้น สารมลพิษทุกประเภทที่กล่าวไว้ในตัวเลือกทั้ง 5 ข้อนี้ล้วนเป็นสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษทั้งสิ้น และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ได้
นอกจากนี้ ตัวเลือก All ยังเป็นคำตอบที่ครอบคลุมที่สุด เพราะไม่จำกัดเฉพาะสารมลพิษประเภทใดประเภทหนึ่ง แต่ครอบคลุมสารมลพิษทุกประเภทที่อาจก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษได้
ตัวอย่างของปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษที่เกิดจากสารมลพิษประเภทต่างๆ ได้แก่
มลพิษทางอากาศจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคมะเร็ง
มลพิษทางน้ำจากโรงงานอุตสาหกรรมและการเกษตร ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคท้องร่วง โรคบิด โรคตับ
มลพิษทางดินจากสารเคมีการเกษตรและอุตสาหกรรม ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคโลหิตจาง
มลพิษทางอาหารจากสารปนเปื้อน ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคท้องร่วง โรคอาหารเป็นพิษ
ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ รวมถึงสิ่งแวดล้อมโดยรวม |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Histamine
|
1. CN10 |
|
เพราะ Histamine เป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาจากเซลล์ประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) โดยเฉพาะจากเซลล์ประสาทในก้านสมอง (brainstem) ของ CNIO นั่นเอง
Histamine มีหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย เช่น
กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
ขยายหลอดเลือด
กระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ
กระตุ้นการหลั่งน้ำมูก น้ำตา และน้ำลาย
เมื่อ Histamine ถูกหลั่งออกมาจากเซลล์ประสาทในก้านสมองของ CNIO จะไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายตามหน้าที่ต่างๆ ของ Histamine ที่ได้กล่าวไปข้างต้น
ดังนั้น ข้อ 1. CNIO จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามนี้
สำหรับตัวเลือกอื่นๆ นั้น
2. CN3 เป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตา
3. CN4 เป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อหน้า
4. CN7 เป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า
5. CN9 เป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อคอและกล้ามเนื้อไหล่
จะเห็นได้ว่า ตัวเลือกอื่นๆ เหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Histamine โดยตรง ดังนั้นจึงไม่น่าใช่คำตอบที่ถูกต้อง |
Histamine เป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาจากเซลล์ประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) เป็นหลัก โดยเซลล์ประสาทเหล่านี้จะอยู่ที่ก้านสมอง (brainstem) ของ CNIO นั่นเอง
Histamine มีหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย เช่น
กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
ขยายหลอดเลือด
กระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ
กระตุ้นการหลั่งน้ำมูก น้ำตา และน้ำลาย
เมื่อ Histamine ถูกหลั่งออกมาจากเซลล์ประสาทในก้านสมองของ CNIO จะไปกระตุ้นการทำงานของอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายตามหน้าที่ต่างๆ ของ Histamine ที่ได้กล่าวไปข้างต้น
ดังนั้น เส้นประสาทสมองที่หลั่งฮิสตามีนออกมาจึงน่าจะเป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ประสาทในก้านสมองของ CNIO ซึ่งก็คือเส้นประสาทสมอง CNIO นั่นเอง
สำหรับตัวเลือกอื่นๆ นั้น
CN3 เป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตา
เส้นประสาทสมอง CN3 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Histamine โดยตรง เนื่องจากเส้นประสาทสมองนี้มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตาเท่านั้น
CN4 เป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อหน้า
เส้นประสาทสมอง CN4 ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Histamine โดยตรง เนื่องจากเส้นประสาทสมองนี้มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อหน้าเท่านั้น
CN7 เป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า
เส้นประสาทสมอง CN7 ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Histamine โดยตรง เนื่องจากเส้นประสาทสมองนี้มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าเท่านั้น
CN9 เป็นเส้นประสาทสมองที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อคอและกล้ามเนื้อไหล่
เส้นประสาทสมอง CN9 ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Histamine โดยตรง เนื่องจากเส้นประสาทสมองนี้มีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อคอและกล้ามเนื้อไหล่เท่านั้น
ดังนั้น ข้อ 1. CNIO จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามนี้ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Environmental toxicology
|
5. All |
|
เลือกข้อ "All" เพราะพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม (Environmental toxicology) เกี่ยวข้องกับสารพิษทุกประเภท ทั้งสารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ สารกำจัดศัตรูพืช และสารชีวภาพ สารพิษเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อมได้หลากหลายวิธี เช่น การทำลายระบบนิเวศ การสะสมในสิ่งมีชีวิต และก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
สารอินทรีย์เป็นสารพิษที่พบได้บ่อยที่สุดในโลก สารอินทรีย์บางชนิด เช่น สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile organic compounds: VOCs) สารประกอบอินทรีย์ฮาโลเจน (Halogenated organic compounds: HOCs) และสารประกอบโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons: PAHs) มักถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม สารเหล่านี้สามารถก่อมลพิษต่ออากาศ น้ำ และดิน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์
สารอนินทรีย์เป็นสารพิษอีกประเภทหนึ่งที่พบได้บ่อย สารอนินทรีย์บางชนิด เช่น โลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว และแคดเมียม มักถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเหมืองแร่ การบำบัดน้ำเสีย และอุตสาหกรรม สารเหล่านี้สามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตและก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
สารกำจัดศัตรูพืชเป็นสารพิษที่ใช้ในการควบคุมศัตรูพืช เช่น แมลง วัชพืช และสัตว์รบกวน สารกำจัดศัตรูพืชบางชนิด เช่น สารฆ่าแมลงจำพวกออร์แกโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต มักถูกใช้ในปริมาณมากและสามารถตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้เป็นเวลานาน สารเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์
สารชีวภาพเป็นสารพิษที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และรา สารชีวภาพบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค เช่น อีโคไล และไวรัสที่ทำให้เกิดโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ มักแพร่กระจายผ่านทางอากาศ น้ำ และอาหาร สารเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บในมนุษย์และสัตว์
ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น ฉันจึงเลือกข้อ "All" เพราะพิษวิทยาสิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้องกับสารพิษทุกประเภท |
พิษวิทยาสิ่งแวดล้อม (Environmental toxicology) เป็นสาขาของวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาผลกระทบของสารพิษที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม สารพิษสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในหลากหลายวิธี เช่น การทำลายระบบนิเวศ การสะสมในสิ่งมีชีวิต และก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
ตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ กล่าวถึงสารพิษประเภทต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตได้ ดังนี้
ข้อ 1: สารอินทรีย์เป็นสารพิษที่พบได้บ่อยที่สุดในโลก สารอินทรีย์บางชนิด เช่น สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile organic compounds: VOCs) สารประกอบอินทรีย์ฮาโลเจน (Halogenated organic compounds: HOCs) และสารประกอบโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons: PAHs) มักถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม สารเหล่านี้สามารถก่อมลพิษต่ออากาศ น้ำ และดิน และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์
ข้อ 2: สารอนินทรีย์เป็นสารพิษอีกประเภทหนึ่งที่พบได้บ่อย สารอนินทรีย์บางชนิด เช่น โลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว และแคดเมียม มักถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเหมืองแร่ การบำบัดน้ำเสีย และอุตสาหกรรม สารเหล่านี้สามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตและก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
ข้อ 3: สารกำจัดศัตรูพืชเป็นสารพิษที่ใช้ในการควบคุมศัตรูพืช เช่น แมลง วัชพืช และสัตว์รบกวน สารกำจัดศัตรูพืชบางชนิด เช่น สารฆ่าแมลงจำพวกออร์แกโนฟอสเฟตและคาร์บาเมต มักถูกใช้ในปริมาณมากและสามารถตกค้างในสิ่งแวดล้อมได้เป็นเวลานาน สารเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์
ข้อ 4: สารชีวภาพเป็นสารพิษที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และรา สารชีวภาพบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค เช่น อีโคไล และไวรัสที่ทำให้เกิดโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ มักแพร่กระจายผ่านทางอากาศ น้ำ และอาหาร สารเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บในมนุษย์และสัตว์
ดังนั้น จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ จะเห็นได้ว่าสารพิษทุกประเภทสามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตได้ ดังนั้น พิษวิทยาสิ่งแวดล้อมจึงเกี่ยวข้องกับสารพิษทุกประเภท จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
ข้อใดคือ Population-based study cohort
|
3. MAT |
|
เพราะคำว่า MAT ย่อมาจาก Meta-Analysis ซึ่งหมายถึง การวิจัยเชิงวิเคราะห์ที่รวบรวมผลการศึกษาหลายชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แม่นยำยิ่งขึ้น
จากข้อมูลในคำถามระบุว่า การวิจัยนี้ดำเนินการในชุมชน Jalan ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในมาเลเซีย โดยเป็นการวิจัยเชิงติดตาม (cohort study) ซึ่งติดตามกลุ่มตัวอย่างเป็นเวลานาน เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับผลลัพธ์สุขภาพ
การวิจัยเชิงติดตามมักใช้วิธี Meta-Analysis เพื่อสรุปผลการศึกษา เนื่องจากสามารถช่วยลดอคติที่อาจเกิดขึ้นได้จากการศึกษาแต่ละชิ้นได้
ดังนั้น ตัวเลือก MAT จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะตอบคำถามนี้ได้ถูกต้อง
สำหรับตัวเลือกอื่นๆ นั้น
MYHAT และ HAT ย่อมาจาก Meta-Analysis of Human and Animal Toxicology ซึ่งหมายถึง การวิจัยเชิงวิเคราะห์ที่รวบรวมผลการศึกษาด้านพิษวิทยาของมนุษย์และสัตว์เข้าด้วยกัน
MYHA และ YHA ย่อมาจาก Meta-Analysis of Human and Young Adult ซึ่งหมายถึง การวิจัยเชิงวิเคราะห์ที่รวบรวมผลการศึกษาด้านสุขภาพของมนุษย์และผู้ใหญ่อายุน้อยเข้าด้วยกัน
ทั้ง MYHAT, HAT, MYHA และ YHA ล้วนเป็นวิธีวิจัยเชิงวิเคราะห์ที่สามารถใช้เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับผลลัพธ์สุขภาพได้ แต่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในคำถาม ดังนั้น จึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
สรุปได้ว่า คำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับคำถามนี้คือ ข้อ 3: MAT |
ข้อ 3: MAT ย่อมาจาก Meta-Analysis ซึ่งหมายถึง การวิจัยเชิงวิเคราะห์ที่รวบรวมผลการศึกษาหลายชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แม่นยำยิ่งขึ้น
การวิจัยเชิงติดตาม (cohort study) เป็นการศึกษาที่ติดตามกลุ่มตัวอย่างเป็นเวลานาน เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับผลลัพธ์สุขภาพ เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคอาหารกับโรคหัวใจ
การวิจัยเชิงติดตามมักใช้วิธี Meta-Analysis เพื่อสรุปผลการศึกษา เนื่องจากสามารถช่วยลดอคติที่อาจเกิดขึ้นได้จากการศึกษาแต่ละชิ้นได้
อคติ (bias) หมายถึง ความเอนเอียงในการศึกษา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม การวัดผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น
อคติอาจทำให้ผลการศึกษาที่ได้ไม่ถูกต้อง ดังนั้น การลดอคติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
Meta-Analysis เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยลดอคติได้ โดยวิธีนี้จะทำการวิเคราะห์ผลการศึกษาหลายชิ้นที่ศึกษาเรื่องเดียวกันเข้าด้วยกัน จากนั้นจึงใช้วิธีทางสถิติเพื่อสรุปผลการศึกษา
การวิจัยที่กล่าวถึงในคำถามเป็นการวิจัยเชิงติดตามที่ดำเนินการในชุมชน Jalan ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ในมาเลเซีย การศึกษานี้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับผลลัพธ์สุขภาพ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง
เนื่องจากการศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงติดตาม จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดอคติได้ ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าผู้วิจัยจะใช้วิธี Meta-Analysis เพื่อสรุปผลการศึกษา
ดังนั้น ตัวเลือก MAT จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะตอบคำถามนี้ได้ถูกต้อง
สำหรับตัวเลือกอื่นๆ นั้น
MYHAT และ HAT ย่อมาจาก Meta-Analysis of Human and Animal Toxicology ซึ่งหมายถึง การวิจัยเชิงวิเคราะห์ที่รวบรวมผลการศึกษาด้านพิษวิทยาของมนุษย์และสัตว์เข้าด้วยกัน
การศึกษาด้านพิษวิทยาของมนุษย์และสัตว์เป็นการศึกษาที่แตกต่างจากการศึกษาเชิงติดตามที่กล่าวถึงในคำถาม ดังนั้น ตัวเลือก MYHAT และ HAT จึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
MYHA และ YHA ย่อมาจาก Meta-Analysis of Human and Young Adult ซึ่งหมายถึง การวิจัยเชิงวิเคราะห์ที่รวบรวมผลการศึกษาด้านสุขภาพของมนุษย์และผู้ใหญ่อายุน้อยเข้าด้วยกัน
การศึกษาด้านสุขภาพของมนุษย์และผู้ใหญ่อายุน้อยก็เป็นการศึกษาที่แตกต่างจากการศึกษาเชิงติดตามที่กล่าวถึงในคำถาม ดังนั้น ตัวเลือก MYHA และ YHA จึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Combination of drugs targeting Aβ
|
5. ถูกมากกว่า 1 ข้อ |
|
เพราะจากภาพแสดงให้เห็นว่า combination of drugs targeting AB มีเป้าหมายที่หลากหลาย รวมถึง Reactive Astrocyte Mediators, Early Tau Pathology และ Preclinical AD Individuals ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า combination of drugs เหล่านี้จะส่งผลต่อมากกว่า 1 ข้อในตัวเลือกที่กำหนด
Reactive Astrocyte Mediators เป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาจาก astrocytes ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่รองรับเซลล์ประสาทอื่น ๆ สารสื่อประสาทเหล่านี้สามารถกระตุ้นการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ประสาทได้ ดังนั้นการยับยั้งการผลิต Reactive Astrocyte Mediators จึงอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
Early Tau Pathology เป็นการเปลี่ยนแปลงของโปรตีน tau ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในเซลล์ประสาท tau ที่ผิดปกติสามารถสะสมในเซลล์ประสาทและทำให้เกิดความเสียหายได้ การยับยั้งการเกิด Early Tau Pathology จึงอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน
Preclinical AD Individuals เป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคอัลไซเมอร์ การรักษาด้วย combination of drugs targeting AB ในบุคคลกลุ่มนี้อาจช่วยชะลอหรือป้องกันไม่ให้เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาบางชิ้นที่พบว่า combination of drugs targeting AB อาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสุขภาพสมองโดยรวมอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ combination of drugs targeting AB ในการป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ |
โรคอัลไซเมอร์เป็นโรค neurodegenerative ซึ่งหมายถึงโรคที่ทำลายเนื้อเยื่อประสาท โรคนี้เกิดจากการสะสมของสาร amyloid-beta (AB) ในสมอง AB เป็นโปรตีนที่ผิดปกติที่ก่อตัวเป็นแผ่น amyloid-beta ซึ่งสามารถสะสมในสมองและทำลายเซลล์ประสาทได้
การรักษาโรคอัลไซเมอร์ในปัจจุบันมุ่งเป้าไปที่การลดการสะสมของ AB ในสมอง การรักษาเหล่านี้ ได้แก่
ยายับยั้ง β-secretase ยาเหล่านี้ยับยั้งการทำงานของ β-secretase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิต AB
ยายับยั้ง neprilysin ยาเหล่านี้ยับยั้งการทำงานของ neprilysin ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลาย AB
ยายับยั้งการรวมตัวของ AB ยาเหล่านี้ยับยั้งการรวมตัวของ AB เข้าเป็นแผ่น amyloid-beta
การรักษาเหล่านี้มีประสิทธิภาพเพียงเล็กน้อยในการชะลอหรือหยุดการ progression ของโรคอัลไซเมอร์
combination of drugs targeting AB เป็นการรักษาโรคอัลไซเมอร์รูปแบบใหม่ที่กำลังพัฒนา การรักษานี้ใช้ยาหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ร่วมกันเพื่อลดการสะสมของ AB ในสมอง
จากภาพแสดงให้เห็นว่า combination of drugs targeting AB มีเป้าหมายที่หลากหลาย รวมถึง Reactive Astrocyte Mediators, Early Tau Pathology และ Preclinical AD Individuals
Reactive Astrocyte Mediators เป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งออกมาจาก astrocytes ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่รองรับเซลล์ประสาทอื่น ๆ สารสื่อประสาทเหล่านี้สามารถกระตุ้นการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ประสาทได้ ดังนั้นการยับยั้งการผลิต Reactive Astrocyte Mediators จึงอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
Early Tau Pathology เป็นการเปลี่ยนแปลงของโปรตีน tau ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในเซลล์ประสาท tau ที่ผิดปกติสามารถสะสมในเซลล์ประสาทและทำให้เกิดความเสียหายได้ การยับยั้งการเกิด Early Tau Pathology จึงอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นกัน
Preclinical AD Individuals เป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคอัลไซเมอร์ การรักษาด้วย combination of drugs targeting AB ในบุคคลกลุ่มนี้อาจช่วยชะลอหรือป้องกันไม่ให้เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาบางชิ้นที่พบว่า combination of drugs targeting AB อาจมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสุขภาพสมองโดยรวมอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ combination of drugs targeting AB ในการป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ผมจึงเห็นว่าข้อ 5. ถูกมากกว่า 1 ข้อ น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด เพราะจากภาพแสดงให้เห็นว่า combination of drugs targeting AB มีเป้าหมายที่หลากหลาย และอาจส่งผลต่อมากกว่า 1 ข้อในตัวเลือกที่กำหนด |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Astrocyte reactivity
|
1. longitudinal accumulation |
|
เพราะข้อนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายมากที่สุด
ข้อ Longitudinal Accumulation หมายถึง การสะสมของโปรตีนผิดปกติที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท โปรตีนผิดปกติเหล่านี้สามารถรบกวนการทำงานของเส้นใยประสาทและนำไปสู่การเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทได้
ในตัวเลือกอื่นๆ นั้น โปรตีนผิดปกติจะสะสมกันอยู่ที่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ไม่ได้สะสมตามแนวยาวของเส้นใยประสาท ซึ่งทำให้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายมากเท่ากับข้อ Longitudinal Accumulation
ตัวอย่างเช่น Longitudinal Tat Tangle หมายถึง การสะสมของโปรตีน Tat ที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท โปรตีน Tat นี้พบได้ในโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสัน ซึ่งเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมอง
Longitudinal Taw Tangle หมายถึง การสะสมของโปรตีน Taw ที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท โปรตีน Taw นี้พบได้ในโรค Huntington ซึ่งเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมอง
Longitudinal Tau Tangle หมายถึง การสะสมของโปรตีน Tau ที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท โปรตีน Tau นี้พบได้ในโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสัน ซึ่งเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมอง
Longitudinal Taq Tangle หมายถึง การสะสมของโปรตีน Taq ที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท โปรตีน Taq นี้พบได้ในโรค Creutzfeldt-Jakob ซึ่งเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมอง
ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น ผมจึงเลือกข้อ Longitudinal Accumulation เป็นคำตอบ |
การสะสมโปรตีนผิดปกติ (Protein Accumulation) หมายถึง การสะสมของโปรตีนที่ไม่ปกติหรือผิดปกติในร่างกาย ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การติดเชื้อ หรือการได้รับสารพิษ เป็นต้น
การสะสมโปรตีนผิดปกติสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่มักพบในสมอง หัวใจ ตับ และไต โปรตีนผิดปกติเหล่านี้สามารถขัดขวางการทำงานของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ นำไปสู่การเสื่อมสภาพของเซลล์และเนื้อเยื่อในที่สุด
การสะสมโปรตีนผิดปกติอาจทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น
จากตัวเลือกทั้ง 5 ข้อ การสะสมโปรตีนผิดปกติที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายมากที่สุดคือ Longitudinal Accumulation หมายถึง การสะสมของโปรตีนผิดปกติที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท
การสะสมโปรตีนผิดปกติตามแนวยาวของเส้นใยประสาทสามารถรบกวนการทำงานของเส้นใยประสาทและนำไปสู่การเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทได้ โปรตีนผิดปกติเหล่านี้อาจเกาะติดกันหรือพันกันจนเป็นก้อน ทำให้เส้นใยประสาทไม่สามารถนำสัญญาณประสาทไปส่งไปยังเซลล์อื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเสียหายต่อเซลล์ประสาทอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาด้านความจำ ปัญหาด้านการเคลื่อนไหว ปัญหาด้านอารมณ์ และปัญหาด้านสติปัญญา
ตัวอย่างของโรคที่เกิดจากการสะสมโปรตีนผิดปกติตามแนวยาวของเส้นใยประสาท ได้แก่
โรคอัลไซเมอร์: เกิดจากการสะสมของโปรตีน Tau ที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท
โรคพาร์กินสัน: เกิดจากการสะสมของโปรตีน α-synuclein ที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท
โรค Huntington: เกิดจากการสะสมของโปรตีน Huntingtin ที่ยาวขึ้นตามแนวยาวของเส้นใยประสาท
ดังนั้น จากเหตุผลข้างต้น ผมจึงเลือกข้อ Longitudinal Accumulation เป็นคำตอบ เพราะเป็นประเภทของการสะสมโปรตีนผิดปกติที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายมากที่สุด |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
Vitamin C ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับโรคเบาหวาน
|
5. มีข้อผิดมากกว่า 1 ข้อ |
|
เพราะเป็นข้อที่ครอบคลุมและถูกต้องที่สุด
ข้อ 1, 2, และ 3 ล้วนเป็นข้อที่ผิด ดังนี้
ข้อ 1 ผิด เพราะวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
ข้อ 2 ผิด เพราะวิตามินซีไม่ได้มีผลต่อปริมาณอินซูลินโดยตรง
ข้อ 3 ผิด เพราะวิตามินซีไม่ได้มีผลต่อปริมาณอินซูลินโดยตรง
ดังนั้น ข้อที่ถูกต้องจึงต้องเป็นข้อที่รวมข้อที่ผิดทั้ง 3 ข้อไว้ด้วยกัน ซึ่งก็คือข้อ 5 นั่นเอง
ข้อ 4 ถูกต้อง แต่ครอบคลุมน้อยกว่าข้อ 5 เพราะข้อ 4 กล่าวถึงเพียงคุณสมบัติของวิตามินซีเพียงอย่างเดียว ไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินซีกับโรคเบาหวานแต่อย่างใด |
ข้อ 1 ผิด เพราะวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น สารต้านอนุมูลอิสระจะทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งอนุมูลอิสระเป็นสารที่ก่อปฏิกิริยากับเซลล์ในร่างกายและอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ความเสียหายของเซลล์ในร่างกายอาจนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ รวมไปถึงโรคเบาหวานได้ ดังนั้น วิตามินซีจึงอาจช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้
ข้อ 2 ผิด เพราะวิตามินซีไม่ได้มีผลต่อปริมาณอินซูลินโดยตรง อินซูลินเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงาน วิตามินซีอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินได้ แต่ไม่ได้มีผลต่อปริมาณอินซูลินโดยตรง
ข้อ 3 ผิด เพราะวิตามินซีไม่ได้มีผลต่อปริมาณอินซูลินโดยตรง เช่นเดียวกับข้อ 2
ดังนั้น ข้อที่ถูกต้องจึงต้องเป็นข้อที่รวมข้อที่ผิดทั้ง 3 ข้อไว้ด้วยกัน ซึ่งก็คือข้อ 5 นั่นเอง
ข้อ 4 ถูกต้อง แต่ครอบคลุมน้อยกว่าข้อ 5 เพราะข้อ 4 กล่าวถึงเพียงคุณสมบัติของวิตามินซีเพียงอย่างเดียว ไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินซีกับโรคเบาหวานแต่อย่างใด
สรุปแล้ว ข้อที่ถูกต้องคือข้อ 5 ครับ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|