ตรวจข้อสอบ > ยศพัฒน์ ชาวยอง > ความถนัดคณิตศาสตร์เชิงวิศวกรรมศาสตร์ | Engineering Mathematics Aptitude > Part 2 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 0 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


Which factor is considered a major driver of land cover change contributing to landslides in the Chattogram District?

Hill cutting and unplanned urbanization

การตัดเขา: การตัดเขาเพื่อการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัย ถนน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ทำให้ความชันของพื้นที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดินและหินอ่อนแอลง และง่ายต่อการเกิดการเคลื่อนตัวเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ฝนตกหนัก การขยายตัวของเมืองที่ไม่มีการวางแผน: การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วและไม่มีการวางแผนที่ดี ทำให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่า และการสร้างอาคารบนพื้นที่ที่มีความชันสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม ปัจจัยอื่นๆ: แม้ว่าตัวเลือกอื่นๆ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การกัดเซาะชายฝั่ง และกิจกรรมทางภูเขาไฟจะมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน แต่สำหรับเขตจัตตogram แล้ว การตัดเขาและการขยายตัวของเมืองที่ไม่มีการวางแผนถือเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุด ทฤษฎีความสมดุลของเนินเขา: ทฤษฎีนี้กล่าวว่าเนินเขามีความสมดุลตามธรรมชาติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง เช่น การตัดเขา การสร้างอาคาร จะทำให้ความสมดุลเสียไป และเกิดการปรับตัวใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดแผ่นดินถล่ม ทฤษฎีการกัดเซาะ: ทฤษฎีนี้กล่าวว่าการกัดเซาะของดินและหินเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ แต่กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การทำเกษตรกรรม สามารถเร่งให้กระบวนการนี้เกิดขึ้นเร็วขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม แนวคิดการจัดการพื้นที่ลาดชัน: แนวคิดนี้เน้นถึงความสำคัญของการจัดการพื้นที่ลาดชันอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม เช่น การสร้างแนวกันดิน การปลูกพืชคลุมดิน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


What does the ROC value for a model indicate in the context of this study?

The accuracy of the model in predicting landslide susceptibility

ROC (Receiver Operating Characteristic) Curve: เป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินประสิทธิภาพของโมเดลในการจำแนกประเภท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ข้อมูลมีทั้งตัวอย่างที่เป็นบวก (เช่น เกิดดินสไลด์) และตัวอย่างที่เป็นลบ (เช่น ไม่เกิดดินสไลด์) ค่า ROC จะบอกถึงความสามารถของโมเดลในการแยกแยะตัวอย่างทั้งสองประเภทออกจากกันได้ดีเพียงใด บริบทของการศึกษา: ในบริบทของการวิเคราะห์ความเสี่ยงของน้ำท่วม การใช้ ROC เพื่อประเมินโมเดลที่พัฒนาขึ้นมานั้น หมายถึงการประเมินว่าโมเดลสามารถทำนายได้แม่นยำเพียงใดว่าพื้นที่ใดบ้างมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วม ค่า ROC ที่สูงบ่งบอกว่าโมเดลมีความแม่นยำในการทำนายสูง ตัวเลือกอื่นๆ: The cost-effectiveness of the model: ROC ไม่ได้บอกถึงค่าใช้จ่ายในการพัฒนาหรือใช้งานโมเดลโดยตรง The correlation between different models: ROC ใช้ประเมินประสิทธิภาพของโมเดลเดี่ยว ไม่ได้เปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างโมเดลหลายๆ โมเดล The environmental impact of landslides: ROC ไม่ได้วัดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยตรง The geographic spread of landslides: ROC ไม่ได้บอกถึงการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของดินสไลด์ ทฤษฎีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning): ROC เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของโมเดลที่สร้างขึ้นจากข้อมูล สถิติ: ROC Curve เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางสถิติ เช่น sensitivity, specificity, และ area under the curve (AUC) ซึ่งใช้ในการวัดประสิทธิภาพของการจำแนกประเภท วิศวกรรมความน่าเชื่อถือ (Reliability Engineering): ROC Curve ถูกนำมาใช้ในหลายสาขา เช่น การแพทย์, การเงิน และวิศวกรรม เพื่อประเมินประสิทธิภาพของระบบหรือโมเดลต่างๆ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


According to the study, what percentage of the Chattogram District's area is highly susceptible to landslides?

25-30%

การศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประมาณ 25-30% ของพื้นที่ในเขต Chattogram มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดดินถล่ม ซึ่งหมายความว่าส่วนใหญ่ของพื้นที่ในเขตนี้มีลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเกิดดินถล่ม ดังนี้: ลักษณะภูมิประเทศ: เขต Chattogram มีภูเขาและเนินเขาที่มีความลาดชันสูง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มสูงต่อการเกิดดินถล่ม โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกหนัก สภาพแวดล้อมและภูมิอากาศ: ปริมาณฝนที่สูงและการละลายของหิมะในพื้นที่ภูเขาสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดดินถล่มได้ เนื่องจากน้ำเพิ่มขึ้นในดินและทำให้ดินไม่สามารถรักษาความเสถียรได้ ข้อมูลจากแผนที่ความเสี่ยง: การศึกษาความเสี่ยงจากดินถล่มในพื้นที่ Chattogram ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล GIS และการสร้างแผนที่เพื่อระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประมาณ 25-30% ของพื้นที่มีความเสี่ยงสูง ทฤษฎีการวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis Theory): การวิเคราะห์ความเสี่ยงดินถล่มในพื้นที่ต่างๆ ใช้การศึกษาภูมิประเทศและปัจจัยอื่นๆ เช่น ความชื้นในดินและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเพื่อประเมินความเสี่ยง ทฤษฎีการทำแผนที่ความเสี่ยง (Risk Mapping Theory): การใช้แผนที่ความเสี่ยงเพื่อแสดงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งช่วยในการระบุพื้นที่ที่ต้องการการจัดการและการป้องกันเพิ่มเติม ทฤษฎีภูมิศาสตร์เชิงพื้นที่ (Spatial Geography Theory): การศึกษาภูมิศาสตร์ของพื้นที่เพื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงที่เกิดจากลักษณะภูมิประเทศและสภาพแวดล้อม เช่น พื้นที่ภูเขาและเนินเขาที่มีความลาดชันสูง ทฤษฎีการจัดการภัยพิบัติ (Disaster Management Theory): การทำความเข้าใจความเสี่ยงในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงช่วยในการพัฒนาแผนการตอบสนองและการป้องกันภัยพิบัติในพื้นที่เหล่านั้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


How are the logistic regression model's coefficients used in landslide susceptibility mapping?

To reflect the contributions of each factor affecting landslides

ในการทำแผนที่ความเสี่ยงจากดินถล่ม, แบบจำลองการถดถอยโลจิสติกถูกใช้เพื่อวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงจากดินถล่มตามปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบ ต่อการเกิดดินถล่ม: ค่าสัมประสิทธิ์ของแบบจำลอง (Model Coefficients): ค่าสัมประสิทธิ์ที่ได้จากการถดถอยโลจิสติกบ่งชี้ถึงความสำคัญและผลกระทบของแต่ละปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดดินถล่ม เช่น ความลาดชันของพื้นที่, ประเภทของดิน, และปริมาณฝนตก ค่าสัมประสิทธิ์จะช่วยให้รู้ว่าปัจจัยใดมีอิทธิพลมากที่สุดในการเกิดดินถล่ม การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis): การใช้ค่าสัมประสิทธิ์ช่วยในการสร้างแผนที่ความเสี่ยงโดยการคำนวณคะแนนความเสี่ยงสำหรับแต่ละพื้นที่ โดยการนำค่าสัมประสิทธิ์มาคูณกับค่าของปัจจัยต่างๆ เช่น ความลาดชันและประเภทดิน เพื่อให้ได้ค่าความเสี่ยงที่สะท้อนถึงความเป็นไปได้ของการเกิดดินถล่ม การประเมินผลกระทบของปัจจัย (Factor Contribution): ค่าสัมประสิทธิ์ของแต่ละปัจจัยช่วยในการทำความเข้าใจว่าปัจจัยใดมีผลกระทบมากที่สุดต่อความเสี่ยงของดินถล่ม ซึ่งช่วยในการจัดลำดับความสำคัญของการจัดการความเสี่ยง ทฤษฎีการถดถอยโลจิสติก (Logistic Regression Theory): ทฤษฎีนี้ช่วยในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยอิสระ (เช่น ความลาดชัน, ประเภทดิน) กับความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุการณ์ (เช่น ดินถล่ม) โดยการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์ที่สะท้อนถึงความสำคัญของแต่ละปัจจัย ทฤษฎีการวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis Theory): การวิเคราะห์ความเสี่ยงใช้ข้อมูลจากแบบจำลองการถดถอยโลจิสติกเพื่อประเมินความเสี่ยงจากดินถล่มในพื้นที่ต่างๆ โดยการคำนวณคะแนนความเสี่ยงจากค่าสัมประสิทธิ์และค่าของปัจจัย ทฤษฎีการทำแผนที่ความเสี่ยง (Risk Mapping Theory): การทำแผนที่ความเสี่ยงใช้ข้อมูลจากแบบจำลองการถดถอยโลจิสติกเพื่อสร้างแผนที่ที่แสดงความเสี่ยงของดินถล่มในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการและการวางแผน ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยช่วยในการทำความเข้าใจถึงบทบาทของแต่ละปัจจัยในการเกิดดินถล่ม โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์เพื่อประเมินผลกระทบของแต่ละปัจจัย 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


What is the importance of the Stream Density factor according to the Random Forest model in the document?

One of the top five most important factors

การศึกษาด้วยแบบจำลอง Random Forest มักจะใช้การจัดอันดับความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการเกิดดินถล่ม โดยปัจจัยความหนาแน่นของลำธาร (Stream Density) ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญในการคาดการณ์ความเสี่ยงของดินถล่ม: บทบาทในการสร้างความเสี่ยง: ความหนาแน่นของลำธารมีความสำคัญในการสร้างความเสี่ยงของดินถล่ม เนื่องจากลำธารสามารถมีผลกระทบต่อการชะล้างดินและการเปลี่ยนแปลงของการไหลของน้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น การจัดอันดับใน Random Forest: แบบจำลอง Random Forest ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลายเพื่อสร้างต้นไม้การตัดสินใจหลายๆ ต้นไม้และรวมผลลัพธ์ เพื่อคำนวณความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ความหนาแน่นของลำธารมักจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสูงสุด การเปรียบเทียบกับปัจจัยอื่น: ความหนาแน่นของลำธารได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในห้าปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการคาดการณ์ความเสี่ยงของดินถล่ม ซึ่งหมายความว่ามีอิทธิพลที่ชัดเจนในการประเมินความเสี่ยง ทฤษฎี Random Forest (Random Forest Theory): ทฤษฎีนี้ใช้การสร้างต้นไม้การตัดสินใจหลายต้นไม้เพื่อคำนวณความสำคัญของแต่ละปัจจัย โดยการประเมินการลดลงของความไม่แน่นอน (impurity) เมื่อปัจจัยถูกใช้ในการแบ่งกลุ่มข้อมูล ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ความสำคัญของปัจจัยในแบบจำลอง Random Forest ช่วยในการระบุปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการเกิดดินถล่ม โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทฤษฎีการจัดการความเสี่ยง (Risk Management Theory): การเข้าใจความสำคัญของปัจจัยต่างๆ เช่น ความหนาแน่นของลำธาร ช่วยในการจัดการและลดความเสี่ยงจากดินถล่ม โดยการมุ่งเน้นการดำเนินการในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ทฤษฎีการวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ (Geospatial Analysis Theory): การใช้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ เช่น ความหนาแน่นของลำธาร, ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงดินถล่ม ช่วยในการสร้างแบบจำลองที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพในการคาดการณ์และการวางแผน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


According to the document, which machine learning model showed the highest success rate in training data?

Random Forest

ในเอกสาร, โมเดล Random Forest มักจะมีความสามารถในการให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลอื่นๆ เช่น Logistic Regression และ Decision and Regression Tree เนื่องจากเหตุผลดังนี้: การจัดการข้อมูลที่ซับซ้อน: Random Forest เป็นการรวมหลายๆ ต้นไม้การตัดสินใจ (Decision Trees) ที่เรียนรู้จากข้อมูลที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยในการลดความเสี่ยงของการ overfitting และเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ การประเมินความสำคัญของปัจจัย: Random Forest ใช้การประเมินความสำคัญของปัจจัยในการคำนวณคะแนนความเสี่ยง ซึ่งช่วยในการระบุและให้ความสำคัญกับปัจจัยที่สำคัญในการคาดการณ์การเกิดดินถล่ม การทดสอบความแม่นยำ: Random Forest มักจะมีความแม่นยำสูงในข้อมูลการฝึกอบรมเพราะมันใช้กลยุทธ์การเรียนรู้แบบ ensemble ซึ่งหมายความว่าการรวมผลลัพธ์จากหลายๆ โมเดลจะช่วยเพิ่มความแม่นยำโดยรวม ทฤษฎี Random Forest (Random Forest Theory): Random Forest ใช้การเรียนรู้ของเครื่องแบบ ensemble โดยการสร้างหลายต้นไม้การตัดสินใจและรวมผลลัพธ์จากแต่ละต้นไม้เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ ทฤษฎีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning Theory): โมเดลที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่องจะได้รับการประเมินจากความสามารถในการเรียนรู้จากข้อมูลการฝึกอบรมและการทดสอบ ซึ่ง Random Forest เป็นหนึ่งในโมเดลที่ได้รับความนิยมสูงเพราะความสามารถในการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและมีความแม่นยำสูง ทฤษฎีการสร้างแบบจำลอง (Model Building Theory): Random Forest มีข้อดีในการลด overfitting และการเรียนรู้จากข้อมูลที่มีการกระจายตัวหลากหลาย ซึ่งช่วยในการเพิ่มอัตราความสำเร็จในการคาดการณ์ ทฤษฎีการประเมินโมเดล (Model Evaluation Theory): การประเมินโมเดลในการฝึกอบรมและทดสอบมักใช้มาตรฐานเช่น accuracy, precision, recall, และ F1-score ซึ่ง Random Forest มักมีความสามารถในการให้คะแนนที่ดีในมาตรฐานเหล่านี้ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


What is the primary geological characteristic of the Chattogram District that contributes to landslide susceptibility?

Folded anticlines and synclines with unconsolidated sedimentary rocks

ลักษณะทางธรณีวิทยาของเขต Chattogram ที่มี anticlines และ synclines ที่พับงอเป็นรูปแบบของหินตะกอนที่ไม่แน่น (unconsolidated sedimentary rocks) มีผลกระทบอย่างมากต่อความเสี่ยงในการเกิดดินถล่ม: การพับงอของหิน (Folded Structures): Anticlines และ synclines เป็นโครงสร้างภูเขาที่เกิดจากกระบวนการทางธรณีวิทยา เช่น การยกตัวขึ้นและการพับงอของชั้นหิน ทำให้มีความลาดชันสูงและลักษณะภูมิประเทศที่ไม่เสถียร ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดดินถล่ม หินตะกอนที่ไม่แน่น (Unconsolidated Sedimentary Rocks): หินตะกอนที่ไม่แน่นหรือยังไม่ได้รวมตัวดี (unconsolidated) สามารถถูกน้ำและแรงต่างๆ กระทบได้ง่าย ซึ่งทำให้เกิดความไม่เสถียรและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดดินถล่มเมื่อมีฝนตกหนัก ลักษณะภูมิประเทศ: ความลาดชันและการจัดเรียงของชั้นหินในเขต Chattogram ทำให้ดินไม่สามารถรักษาความเสถียรได้ดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดดินถล่ม ทฤษฎีการพับของหิน (Fold Theory): การพับของหินหรือโครงสร้างภูเขาที่พับงอเกิดจากแรงทางธรณีวิทยาที่ทำให้ชั้นหินเปลี่ยนแปลงลักษณะ การพับงอเหล่านี้มักมีลักษณะลาดชันและเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่เสถียรในพื้นที่ ทฤษฎีการเกิดดินถล่ม (Landslide Formation Theory): การเกิดดินถล่มมักเกี่ยวข้องกับลักษณะของหินและโครงสร้างภูเขา เช่น หินตะกอนที่ไม่แน่นซึ่งมีแนวโน้มจะเคลื่อนที่เมื่อมีการกระทำจากปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำฝนหรือแรงโน้มถ่วง ทฤษฎีการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางธรณีวิทยา (Geological Risk Assessment Theory): การประเมินความเสี่ยงจากดินถล่มในพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นปัญหาทางธรณีวิทยา เช่น พื้นที่ที่มีโครงสร้างพับงอและหินตะกอนที่ไม่แน่น ทฤษฎีความไม่เสถียรของดิน (Soil Instability Theory): การศึกษาความไม่เสถียรของดินในพื้นที่ที่มีหินตะกอนที่ไม่แน่นแสดงให้เห็นว่าดินจะมีแนวโน้มในการเกิดการเคลื่อนที่หรือถล่มได้ง่ายเมื่อเจอกับปัจจัยที่ทำให้เกิดแรง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


How do land use and land cover (LULC) changes influence landslide occurrences in the Chattogram District?

They increase landslide risk due to deforestation and construction

การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและการปกคลุมของที่ดินมีผลกระทบโดยตรงต่อความเสี่ยงในการเกิดดินถล่ม โดยเฉพาะในเขต Chattogram ที่มีลักษณะภูมิประเทศที่มีความเสี่ยงสูง: การตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation): การตัดไม้ทำลายป่าทำให้การป้องกันการกัดเซาะของดินลดลง และรากไม้ที่เคยช่วยยึดเกาะดินจะหายไป ส่งผลให้ความเสี่ยงของการเกิดดินถล่มเพิ่มขึ้น การก่อสร้าง (Construction): การพัฒนาเมืองและการก่อสร้างเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดดินถล่ม เนื่องจากการขุดและการถมดินสร้างความไม่เสถียรให้กับเนินเขาและพื้นที่ลาดชัน การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน (Land Use Change): การเปลี่ยนแปลงจากป่าไม้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่เมืองทำให้ดินไม่มีการปกคลุมอย่างดีและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดดินถล่ม เนื่องจากการทำลายความเสถียรของดิน ทฤษฎีการจัดการที่ดิน (Land Management Theory): การจัดการที่ดินที่ไม่ดี เช่น การตัดไม้ทำลายป่าและการก่อสร้างที่ไม่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดดินถล่ม โดยการทำลายความสมดุลของดินและภูมิประเทศ ทฤษฎีการกัดเซาะของดิน (Soil Erosion Theory): การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินและการปกคลุมของที่ดินสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการกัดเซาะของดินซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการเกิดดินถล่ม การตัดไม้ทำลายป่าและการก่อสร้างทำให้ดินไม่มีการปกคลุมที่ดีและเสี่ยงต่อการเคลื่อนที่ ทฤษฎีการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากดินถล่ม (Landslide Risk Assessment Theory): การศึกษาความเสี่ยงจากดินถล่มมักรวมถึงการวิเคราะห์การใช้ที่ดินและการปกคลุมของที่ดิน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในการใช้ที่ดินมีผลโดยตรงต่อความเสี่ยงในการเกิดดินถล่ม ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ (Landscape Change Theory): การเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ เช่น การเปลี่ยนจากป่าเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือเมือง ส่งผลให้ภูมิประเทศมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดดินถล่มเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะของดินและการใช้งานที่ดิน 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


What percentage of total variance is explained by the first factor in the factor analysis discussed in the document?

51.29%

การวิเคราะห์ปัจจัยเป็นเทคนิคทางสถิติที่ใช้เพื่อลดความซับซ้อนของข้อมูลโดยการสกัดปัจจัยที่สำคัญที่สามารถอธิบายความแปรปรวนของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ: อธิบายความแปรปรวนสูง: การที่ปัจจัยแรกสามารถอธิบายความแปรปรวนได้ 51.29% หมายความว่าปัจจัยนี้มีความสำคัญสูงมากในแง่ของการสกัดข้อมูลและการทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของข้อมูล ความหมายของเปอร์เซ็นต์: เมื่อปัจจัยแรกอธิบายความแปรปรวนมากกว่า 50% นั้นแสดงถึงความสำคัญของปัจจัยนี้ในการจับลักษณะหลักของข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ การมีเปอร์เซ็นต์ที่สูงเช่นนี้ทำให้ปัจจัยแรกเป็นตัวแทนที่ดีของข้อมูลโดยรวม การประเมินผลของการวิเคราะห์: ในการวิเคราะห์ปัจจัย, ปัจจัยที่อธิบายเปอร์เซ็นต์ความแปรปรวนที่สูงบ่งชี้ถึงความสำคัญของปัจจัยนั้นในการลดความซับซ้อนของข้อมูลและช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยเป็นเทคนิคทางสถิติที่ใช้ในการลดจำนวนของตัวแปรโดยการสกัดปัจจัยที่สามารถอธิบายความแปรปรวนของข้อมูลได้มากที่สุด ปัจจัยแรกที่อธิบายความแปรปรวนสูงสุดมักจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ทฤษฎีการอธิบายความแปรปรวน (Variance Explained Theory): ความสามารถในการอธิบายความแปรปรวนที่สูงของปัจจัยแรกแสดงถึงความสำคัญของปัจจัยในการจัดการและการวิเคราะห์ข้อมูล การอธิบายความแปรปรวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของข้อมูลแสดงถึงความมีอิทธิพลของปัจจัยนั้น ทฤษฎีการสกัดปัจจัย (Factor Extraction Theory): การสกัดปัจจัยใช้การวัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและปัจจัยเพื่อลดความซับซ้อนของข้อมูล โดยปัจจัยแรกที่อธิบายความแปรปรวนสูงมักเป็นตัวแทนหลักของข้อมูล 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


According to the factor analysis, which factor is related to the cost and sufficiency of manure?

Factor 3: Correlation between manure sufficiency and expenses (cost)

การวิเคราะห์ปัจจัยเป็นวิธีการสถิติที่ใช้ในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหลายๆ ตัวแปรเพื่อสกัดปัจจัยที่สำคัญ: ความสัมพันธ์กับต้นทุนและความเพียงพอ: ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างความเพียงพอของปุ๋ยคอกและค่าใช้จ่าย (ต้นทุน) จะสะท้อนถึงการวิเคราะห์ว่าความเพียงพอของปุ๋ยคอกนั้นสัมพันธ์กับต้นทุนในการจัดหาปุ๋ยหรือไม่ ซึ่งหมายความว่าปัจจัยนี้ครอบคลุมเรื่องของต้นทุนและประสิทธิภาพในการใช้ปุ๋ยคอก การวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis): ในการวิเคราะห์ปัจจัย, ปัจจัยที่มีชื่อว่า "Correlation between manure sufficiency and expenses (cost)" เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณปุ๋ยคอกที่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัจจัยที่อธิบายความสัมพันธ์นี้ได้อย่างชัดเจน การประเมินความสำคัญ: การให้ความสำคัญกับปัจจัยที่เชื่อมโยงความเพียงพอของปุ๋ยคอกกับค่าใช้จ่ายช่วยในการเข้าใจว่าองค์ประกอบทางเศรษฐกิจ (ต้นทุน) และความเพียงพอของปุ๋ยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนและการจัดการการใช้ปุ๋ย ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): ทฤษฎีนี้ช่วยในการสกัดปัจจัยที่สำคัญจากตัวแปรหลายๆ ตัวแปร โดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และการอธิบายข้อมูลให้เป็นกลุ่มปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน ทฤษฎีการจัดการปุ๋ย (Fertilizer Management Theory): การจัดการปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีเป็นสิ่งสำคัญในการเกษตร การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณปุ๋ยคอกที่เพียงพอและค่าใช้จ่ายช่วยในการจัดการและปรับปรุงการใช้ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเกษตร (Agricultural Economics Theory): ทฤษฎีนี้ศึกษาเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรในการผลิต การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนและความเพียงพอของปุ๋ยคอกช่วยในการวางแผนการใช้ทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


According to the factor analysis, which factor is related to the cost and sufficiency of manure?

Factor 3: Correlation between manure sufficiency and expenses (cost)

การเชื่อมโยงต้นทุนกับความเพียงพอ: Factor 3 เน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเพียงพอของปุ๋ยคอกและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตรงกับการวิเคราะห์ว่าความเพียงพอของปุ๋ยคอกมีความสัมพันธ์กับต้นทุนการใช้ปุ๋ยอย่างไร นี่คือการประเมินต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ปุ๋ยคอกและการประเมินว่าปุ๋ยคอกที่เพียงพอมีผลกระทบต่อต้นทุนหรือไม่ การวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis): ในการวิเคราะห์ปัจจัย, Factor 3 มีลักษณะการอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับต้นทุนและความเพียงพอของปุ๋ยคอก ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการประเมินต้นทุนและการจัดการการใช้ปุ๋ย การประเมินความสำคัญ: Factor 3 เป็นการรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความเพียงพอของปุ๋ยคอกและค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนการใช้ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพ ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยใช้ในการลดความซับซ้อนของข้อมูลโดยการสกัดปัจจัยหลักที่สามารถอธิบายข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Factor 3 เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนและความเพียงพอของปุ๋ยคอก ทฤษฎีการจัดการปุ๋ย (Fertilizer Management Theory): การจัดการปุ๋ยคอกและค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ยมีความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณปุ๋ยคอกที่เพียงพอและค่าใช้จ่ายช่วยในการจัดการและการวางแผน ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเกษตร (Agricultural Economics Theory): การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนและความเพียงพอของปุ๋ยคอกช่วยในการวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรและการวางแผนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


What is the Kaiser-Meyer-Olkin (KMO) measure of sampling adequacy reported in the document?

0.607

KMO Measure: ค่า KMO เป็นการวัดความเหมาะสมของการสุ่มตัวอย่างสำหรับการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) โดยจะวัดว่าข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์มีความเหมาะสมหรือไม่ โดยดูจากความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและค่าที่ใกล้เคียงกับ 1 หมายถึงข้อมูลเหมาะสมในการวิเคราะห์ปัจจัย ค่าที่ระบุ: ค่า KMO ที่ 0.607 ถือว่ามีความเหมาะสมในระดับปานกลางสำหรับการวิเคราะห์ปัจจัย ค่า KMO ที่ต่ำกว่า 0.6 มักจะบ่งชี้ว่าอาจมีความเหมาะสมไม่เพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ปัจจัย และอาจจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลหรือทำการปรับปรุง ความหมายของค่า KMO: ค่า KMO ที่สูงกว่า 0.7 ถือว่ามีความเหมาะสมดี ในขณะที่ค่า KMO ต่ำกว่า 0.5 แสดงว่าข้อมูลอาจไม่เหมาะสมสำหรับการวิเคราะห์ปัจจัย Kaiser-Meyer-Olkin (KMO) Measure Theory: KMO measure เป็นการวัดความเหมาะสมของข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ปัจจัย ซึ่งใช้ในการประเมินว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในข้อมูลมีความเหมาะสมในการใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยหรือไม่ ค่า KMO ใกล้เคียง 1 หมายถึงข้อมูลมีความเหมาะสมดี ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยต้องการข้อมูลที่มีความสัมพันธ์ที่เพียงพอเพื่อให้สามารถสกัดปัจจัยที่มีความหมายได้ KMO measure ใช้เพื่อประเมินความเหมาะสมของข้อมูลในการวิเคราะห์ ทฤษฎีการตรวจสอบความเพียงพอของข้อมูล (Data Adequacy Theory): การวัดความเพียงพอของข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ปัจจัยคือการตรวจสอบว่าข้อมูลที่ใช้มีความเหมาะสมในการให้ข้อมูลเชิงลึกหรือไม่ การใช้ค่า KMO เป็นหนึ่งในวิธีการตรวจสอบความเพียงพอของข้อมูล 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


Which of the following statements best describes the contribution of Factor 2 in the factor analysis?

It is related to soil analysis and plant nutrient utilization.

ลักษณะของ Factor 2: Factor 2 ที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ดินและการใช้ธาตุอาหารพืชหมายความว่าปัจจัยนี้มุ่งเน้นการประเมินและการจัดการธาตุอาหารในดินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพืช การวิเคราะห์ดินและการใช้ธาตุอาหารพืชเป็นปัจจัยที่สำคัญในการจัดการการเกษตรและการเพิ่มผลผลิต การอธิบายความแปรปรวน: การที่ Factor 2 เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ดินและการใช้ธาตุอาหารพืชช่วยอธิบายว่าปัจจัยนี้มีส่วนสำคัญในการจัดการทรัพยากรดินและธาตุอาหาร ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพืช การพิจารณาความสำคัญของปัจจัย: การที่ Factor 2 เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ดินและการใช้ธาตุอาหารพืชแสดงให้เห็นว่าปัจจัยนี้มีบทบาทในการจัดการดินและธาตุอาหารที่สำคัญในการพัฒนาการเกษตร การมีส่วนร่วมของ Factor 2 จึงมีความสำคัญในการเข้าใจการจัดการทรัพยากรทางการเกษตร ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยเป็นเทคนิคทางสถิติที่ช่วยในการระบุปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงในข้อมูล ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ดินและการใช้ธาตุอาหารพืชอธิบายการจัดการทรัพยากรทางการเกษตรได้ดี ทฤษฎีการจัดการธาตุอาหารพืช (Nutrient Management Theory): การจัดการธาตุอาหารพืชเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตพืช การวิเคราะห์ดินและการใช้ธาตุอาหารช่วยในการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทฤษฎีการวิเคราะห์ดิน (Soil Analysis Theory): การวิเคราะห์ดินเป็นกระบวนการสำคัญในการประเมินความเหมาะสมของดินสำหรับการเพาะปลูก การใช้ข้อมูลการวิเคราะห์ดินช่วยในการปรับปรุงการจัดการดินและธาตุอาหารพืช 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


Which factor is primarily associated with limitations in the utilization of chemical fertilizer and manure according to the document?

Factor 4

ลักษณะของ Factor 4: Factor 4 มุ่งเน้นข้อจำกัดในการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอก ซึ่งรวมถึงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการใช้ปุ๋ยเหล่านี้ เช่น ปัญหาด้านการจัดหาปุ๋ย, การจัดการ, หรือข้อจำกัดด้านการใช้งาน นี่แสดงให้เห็นถึงการสำรวจข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการใช้ปุ๋ย การวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis): การวิเคราะห์ปัจจัยมักจะทำการสกัดปัจจัยที่สำคัญจากข้อมูลหลายๆ ตัวแปร ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับข้อจำกัดในการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอกจะสะท้อนถึงปัญหาหรือข้อจำกัดที่มีผลกระทบต่อการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ การพิจารณาความสำคัญของปัจจัย: Factor 4 มีบทบาทในการเน้นข้อจำกัดที่เกิดขึ้นในการใช้ปุ๋ย ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาและปรับปรุงกลยุทธ์การใช้ปุ๋ยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยเป็นเทคนิคที่ใช้ในการสกัดปัจจัยหลักที่มีความสำคัญจากข้อมูลหลายๆ ตัวแปร เพื่อระบุลักษณะเฉพาะของข้อมูลที่มีผลต่อการวิเคราะห์ ทฤษฎีการจัดการปุ๋ย (Fertilizer Management Theory): การจัดการปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอกมีความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืช ข้อจำกัดในการใช้ปุ๋ยเป็นปัจจัยที่สำคัญในการวางแผนและการปรับปรุงการใช้ปุ๋ย ทฤษฎีการพัฒนาการเกษตร (Agricultural Development Theory): การพัฒนาการเกษตรต้องพิจารณาข้อจำกัดในการใช้ทรัพยากร เช่น ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยคอก การระบุข้อจำกัดช่วยในการวางแผนและการพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


What is the percentage of variance explained by all four factors together?

51.295%

การรวมปัจจัย: การวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) ใช้เพื่อสกัดปัจจัยหลักที่สามารถอธิบายความแปรปรวนในข้อมูลได้ การรวมปัจจัยทั้งหมดมักจะให้เปอร์เซ็นต์รวมของความแปรปรวนที่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด โดยเปอร์เซ็นต์นี้เป็นการรวมการแปรปรวนที่อธิบายโดยปัจจัยแต่ละตัว เปอร์เซ็นต์ของความแปรปรวน: ค่า 51.295% แสดงถึงเปอร์เซ็นต์ของความแปรปรวนในข้อมูลที่ปัจจัยทั้งสี่สามารถอธิบายได้ร่วมกัน ซึ่งหมายความว่าปัจจัยทั้งสี่รวมกันสามารถอธิบายความแปรปรวนได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของข้อมูลทั้งหมด การประเมินผลการวิเคราะห์: การที่ปัจจัยทั้งสี่สามารถอธิบายความแปรปรวนได้ถึง 51.295% ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีในแง่ของการวิเคราะห์ปัจจัย โดยปกติแล้วการอธิบายความแปรปรวนมากกว่า 50% ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่พอใจและบ่งบอกถึงความสำเร็จในการสกัดปัจจัย ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยเป็นเทคนิคสถิติที่ใช้ในการสกัดปัจจัยหลักที่สามารถอธิบายความแปรปรวนในข้อมูลได้ เปอร์เซ็นต์ของความแปรปรวนที่อธิบายได้ทั้งหมดเป็นตัวชี้วัดว่าปัจจัยที่สกัดออกมามีความสามารถในการอธิบายข้อมูลได้ดีเพียงใด ทฤษฎีการพัฒนาการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis Theory): การพัฒนาและการวิเคราะห์ข้อมูลต้องพิจารณาถึงการอธิบายความแปรปรวนเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ใช้มีความเหมาะสมในการวิเคราะห์และการตัดสินใจ ทฤษฎีการสร้างแบบจำลอง (Model Building Theory): การสร้างแบบจำลองที่ดีต้องสามารถอธิบายความแปรปรวนในข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการรวมปัจจัยที่สำคัญทั้งหมดเป็นวิธีการที่ใช้ในการปรับปรุงความแม่นยำของแบบจำลอง 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


What is the highest mean value for the propositions used in the factor analysis, according to the document?

3.000

การวัดค่าเฉลี่ย: ค่าเฉลี่ย (mean) เป็นการวัดที่ใช้ในการระบุแนวโน้มศูนย์กลางของข้อมูล ข้อมูลที่ให้ค่าเฉลี่ยสูงสุด (3.000) แสดงถึงค่าที่สูงที่สุดในการวิเคราะห์ข้อเสนอที่ใช้ในงานวิจัย ซึ่งหมายถึงข้อเสนอที่มีการตอบสนองที่สูงที่สุด การประเมินข้อเสนอ: ข้อเสนอที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดมักจะบ่งบอกถึงความคิดเห็นหรือความรู้สึกที่ได้รับการตอบสนองมากที่สุดจากกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งมีความสำคัญในการวิเคราะห์ปัจจัยเพื่อให้เข้าใจแนวโน้มหลักของข้อมูล ความหมายของค่าเฉลี่ยสูงสุด: ค่าเฉลี่ยสูงสุด (3.000) ชี้ให้เห็นว่าข้อเสนอที่มีค่าเฉลี่ยนี้มีความสำคัญหรือเป็นที่นิยมสูงสุดในการประเมิน ซึ่งอาจมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับความชื่นชอบหรือความต้องการของกลุ่มตัวอย่าง ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยช่วยในการสกัดปัจจัยหลักจากข้อมูลหลายตัวแปร โดยการใช้ค่าเฉลี่ยเป็นเครื่องมือในการประเมินความสำคัญของข้อเสนอหรือปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีสถิติ (Statistical Theory): การใช้ค่าเฉลี่ยในการวัดแนวโน้มศูนย์กลางของข้อมูลช่วยในการประเมินว่าข้อเสนอใดมีการตอบสนองสูงสุด ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญในการวิเคราะห์ปัจจัย ทฤษฎีการสำรวจ (Survey Theory): การวิเคราะห์ข้อเสนอจากการสำรวจมักจะใช้ค่าเฉลี่ยเพื่อระบุความคิดเห็นหรือทัศนคติของกลุ่มตัวอย่าง ค่าเฉลี่ยสูงสุดช่วยในการระบุข้อเสนอที่มีความสำคัญที่สุด 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


What was the minimum magnitude for the factor loads considered for interpreting the analysis results in the factor analysis?

0.50

การกำหนดค่า Factor Loadings: ในการวิเคราะห์ปัจจัย, factor loadings เป็นการวัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและปัจจัยที่สกัดออกมา ค่า factor loading ที่สูงแสดงว่าตัวแปรนั้นสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับปัจจัยที่สกัดออกมา ค่าที่ต่ำกว่าจะมีความสัมพันธ์ที่อ่อนกว่า การตีความผลลัพธ์: ค่า factor loading ที่ 0.50 มักถูกใช้เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการตีความผลลัพธ์ในการวิเคราะห์ปัจจัย นี่เป็นค่าที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญและการอธิบายที่ดีของตัวแปรโดยปัจจัย ความหมายของค่าต่ำสุด: การใช้ค่า 0.50 เป็นค่าต่ำสุดในการตีความหมายปัจจัยช่วยให้มั่นใจว่าปัจจัยที่สกัดออกมาและตัวแปรที่เกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์ที่เพียงพอในการอธิบายข้อมูล ซึ่งเป็นการทำให้แน่ใจว่าปัจจัยที่ถูกพิจารณามีความสำคัญในการวิเคราะห์ ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยใช้ในการระบุปัจจัยหลักที่อธิบายความแปรปรวนในข้อมูล ค่า factor loading เป็นตัวชี้วัดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและปัจจัยที่สกัดออกมา การใช้เกณฑ์ขั้นต่ำช่วยในการเลือกปัจจัยที่มีความสำคัญ ทฤษฎีการประเมินผล (Evaluation Theory): การประเมินผลในงานวิจัยมักจะใช้ค่าต่ำสุดเพื่อกำหนดว่าค่าตัวแปรนั้นมีความสำคัญในการตีความหมายผลลัพธ์หรือไม่ การใช้ค่า 0.50 เป็นค่าต่ำสุดในการตีความหมายช่วยในการระบุปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ที่สำคัญ ทฤษฎีสถิติ (Statistical Theory): ค่า factor loading เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ทางสถิติ การกำหนดค่าต่ำสุดที่ 0.50 ช่วยในการตรวจสอบว่าผลลัพธ์ที่ได้รับมีความหมายและสามารถอธิบายข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


According to the document, how many factors were initially considered before deciding on the final number?

5

การพิจารณาปัจจัยเริ่มต้น: ในการวิเคราะห์ปัจจัย, นักวิจัยมักเริ่มต้นด้วยการพิจารณาจำนวนปัจจัยที่มากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมความแปรปรวนที่เป็นไปได้ในข้อมูล จากนั้นจะทำการลดจำนวนปัจจัยลงตามผลลัพธ์และการตีความที่เหมาะสม การตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนปัจจัย: การพิจารณา 5 ปัจจัยเริ่มต้นก่อนการตัดสินใจช่วยให้สามารถตรวจสอบและประเมินความสำคัญของปัจจัยต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดก่อนที่จะเลือกจำนวนปัจจัยสุดท้ายที่เหมาะสม การปรับเปลี่ยนจำนวนปัจจัย: กระบวนการนี้รวมถึงการวิเคราะห์ค่า eigenvalues และการใช้เกณฑ์อื่น ๆ เช่น ค่า factor loadings เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนปัจจัยสุดท้ายที่ดีที่สุดในการอธิบายความแปรปรวนในข้อมูล ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยใช้เทคนิคทางสถิติเพื่อระบุและเลือกปัจจัยหลักที่สามารถอธิบายความแปรปรวนในข้อมูลได้ การพิจารณาจำนวนปัจจัยเริ่มต้นช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนปัจจัยที่เหมาะสมที่สุด ทฤษฎีการเลือกปัจจัย (Factor Selection Theory): การเลือกจำนวนปัจจัยที่เหมาะสมคือการพิจารณาความสำคัญและความสัมพันธ์ของปัจจัยในการอธิบายข้อมูล การเริ่มต้นด้วยจำนวนปัจจัยที่มากกว่าช่วยให้สามารถตรวจสอบความหมายและความสัมพันธ์ของปัจจัยได้ดีขึ้น ทฤษฎีการประเมินความแปรปรวน (Variance Explanation Theory): การประเมินจำนวนปัจจัยที่ดีที่สุดในการวิเคราะห์ข้อมูลมักพิจารณาความแปรปรวนที่แต่ละปัจจัยสามารถอธิบายได้ การเลือกจำนวนปัจจัยที่เหมาะสมช่วยในการอธิบายข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


Which method was used for rotation in the factor analysis described in the document?

Varimax

การเลือกวิธีการหมุน (Rotation Method): Varimax เป็นวิธีการหมุนที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยเพื่อให้ปัจจัยมีความหมายที่ชัดเจนและแยกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรได้ดีขึ้น วิธีนี้มุ่งเน้นการเพิ่มความกระจ่างของปัจจัยโดยการทำให้ตัวแปรมีการโหลดสูงในปัจจัยหนึ่งและต่ำในปัจจัยอื่น ๆ ลักษณะของ Varimax Rotation: Varimax เป็นวิธีการหมุนแบบออร์โธโกนัล (orthogonal rotation) ซึ่งหมายความว่าปัจจัยที่หมุนแล้วจะยังคงเป็นอิสระจากกัน (orthogonal) ช่วยให้การตีความผลลัพธ์มีความง่ายและชัดเจนขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มความชัดเจนของปัจจัย การใช้ Varimax ในการวิเคราะห์ปัจจัย: การใช้ Varimax ช่วยให้การจัดการกับปัจจัยที่มีการโหลดสูงและต่ำได้ดีขึ้น ทำให้ปัจจัยที่สกัดออกมามีความชัดเจนและสะท้อนลักษณะหลักของข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยใช้วิธีการหมุนเพื่อเพิ่มความหมายและการตีความของปัจจัยที่สกัดออกมา Varimax เป็นวิธีการหมุนที่นิยมใช้เพื่อลดความซับซ้อนและทำให้การตีความง่ายขึ้น ทฤษฎีการหมุนปัจจัย (Factor Rotation Theory): การหมุนปัจจัยใช้เพื่อให้ปัจจัยที่สกัดออกมาแสดงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนและง่ายต่อการตีความ Varimax เป็นวิธีที่ทำให้ปัจจัยมีการโหลดสูงในบางตัวแปรและต่ำในตัวแปรอื่น ๆ ซึ่งทำให้การตีความเป็นไปได้ง่ายและชัดเจน ทฤษฎีการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis Theory): การใช้วิธีหมุนที่เหมาะสมช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลมีความหมายและประสิทธิภาพมากขึ้น Varimax ช่วยให้การจัดการกับข้อมูลที่มีความซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายและเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


Based on the factor analysis, how is Factor 1 defined in the document?

Chemical fertilizer and manure utilization level and efficiency perception

การกำหนดปัจจัย (Factor Definition): Factor 1 ถูกกำหนดให้สะท้อนถึงระดับการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยหมักรวมถึงการรับรู้เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้ปุ๋ยเหล่านี้ ซึ่งบ่งบอกถึงการจัดการและการประเมินผลการใช้ปุ๋ยในระดับรวม การวิเคราะห์ปัจจัย: Factor 1 จัดการกับการรับรู้และการใช้ทรัพยากรในทางปฏิบัติ ซึ่งรวมถึงทั้งการใช้ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยหมักและการประเมินประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ในการเกษตร การสะท้อนลักษณะของปัจจัย: การตีความ Factor 1 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการทรัพยากรในแง่ของระดับการใช้และประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่อธิบายความแปรปรวนในข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้ปุ๋ย ทฤษฎีการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis Theory): การวิเคราะห์ปัจจัยใช้เพื่อระบุและตีความปัจจัยหลักที่มีผลต่อข้อมูล โดยการใช้ปัจจัยที่สะท้อนถึงการรับรู้และการใช้ทรัพยากรในระดับรวมช่วยในการจัดการข้อมูล ทฤษฎีการประเมินการใช้ทรัพยากร (Resource Utilization Theory): การวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรในด้านปุ๋ยและการประเมินประสิทธิภาพช่วยให้เข้าใจถึงการจัดการทรัพยากรในแง่ของความสำเร็จและประสิทธิภาพ ทฤษฎีการจัดการทางเกษตร (Agricultural Management Theory): การใช้ปุ๋ยและการจัดการทรัพยากรเป็นปัจจัยสำคัญในการเกษตร การตีความ Factor 1 ในการวิเคราะห์ปัจจัยช่วยในการเข้าใจว่าการจัดการและการประเมินทรัพยากรมีผลกระทบต่อการใช้ทรัพยากรและประสิทธิภาพ 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 99.5 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา