ตรวจข้อสอบ > ปัณณวิชญ์ จิตไพศาลวัฒนา > ความถนัดเคมีเชิงวิศวกรรมศาสตร์ | Engineering Chemistry Aptitude > Part 2 > ตรวจ

ใช้เวลาสอบ 42 นาที

Back

# คำถาม คำตอบ ถูก / ผิด สาเหตุ/ขยายความ ทฤษฎีหลักคิด/อ้างอิงในการตอบ คะแนนเต็ม ให้คะแนน
1


What is the primary role of gallic acid in sustainable packaging as discussed in the article?

To enhance mechanical strength and UV barrier properties

การตอบว่า "To enhance mechanical strength and UV barrier properties" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การเพิ่มความแข็งแรงทางกล: กรดกัลลิก (Gallic acid) สามารถทำหน้าที่เป็นสารข้ามพันธะ (cross-linker) ซึ่งช่วยในการเสริมความแข็งแรงของพอลิเมอร์ในวัสดุบรรจุภัณฑ์ ทำให้วัสดุมีความทนทานมากขึ้นและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน 2. การปรับปรุงคุณสมบัติการป้องกันรังสี UV: กรดกัลลิกมีความสามารถในการป้องกันรังสี UV ซึ่งช่วยปกป้องวัสดุบรรจุภัณฑ์จากการเสื่อมสภาพที่เกิดจากการสัมผัสกับแสง UV และช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่บรรจุอยู่ในวัสดุนั้น โดยรวมแล้ว การใช้กรดกัลลิกในวัสดุบรรจุภัณฑ์สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงทางกลและปรับปรุงการป้องกันรังสี UV ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน. กรดกัลลิก (Gallic acid) เป็นสารธรรมชาติที่ใช้ในการปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุบรรจุภัณฑ์ในหลายด้าน: 1. การเพิ่มความแข็งแรงทางกล: กรดกัลลิกทำหน้าที่เป็นสารข้ามพันธะ (cross-linker) ซึ่งช่วยเชื่อมโยงโมเลกุลของพอลิเมอร์ ทำให้วัสดุบรรจุภัณฑ์มีความแข็งแรงและความทนทานที่ดีขึ้น การข้ามพันธะช่วยเพิ่มความเสถียรและความทนทานของวัสดุในสภาวะการใช้งานจริง 2. การปรับปรุงคุณสมบัติการป้องกันรังสี UV: กรดกัลลิกมีคุณสมบัติในการดูดซับรังสี UV ซึ่งช่วยปกป้องวัสดุบรรจุภัณฑ์จากการเสื่อมสภาพที่เกิดจากการสัมผัสกับแสง UV และช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่บรรจุในวัสดุนั้น โดยการใช้กรดกัลลิกในวัสดุบรรจุภัณฑ์สามารถเพิ่มความแข็งแรงทางกลและปรับปรุงการป้องกันรังสี UV ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

2


According to the article, what effect does gallic acid have on the biodegradability of chitosan films?

It increases biodegradability

การตอบว่า "It increases biodegradability" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การกระตุ้นการย่อยสลาย: กรดกัลลิกสามารถทำให้โครงสร้างของฟิล์มชิทูซาน (chitosan) เปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยให้การทำลายโดยจุลินทรีย์และเอนไซม์เป็นไปได้ง่ายขึ้น ทำให้เพิ่มอัตราการย่อยสลายของวัสดุ 2. การปรับปรุงการทำงานของเอนไซม์: กรดกัลลิกมีคุณสมบัติในการปรับปรุงการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลาย ช่วยให้เอนไซม์สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการย่อยสลายฟิล์มชิทูซาน 3. การเปลี่ยนแปลงทางเคมี: การที่กรดกัลลิกสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเคมีของชิทูซานทำให้เกิดสภาพที่เอื้อต่อการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ โดยรวมแล้ว การใช้กรดกัลลิกช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายของฟิล์มชิทูซาน ซึ่งทำให้วัสดุนั้นมีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น. กรดกัลลิก (Gallic acid) มีบทบาทในการเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายของฟิล์มชิทูซาน (chitosan) โดยอาศัยหลักการดังต่อไปนี้: 1. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมี: กรดกัลลิกสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของชิทูซาน ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของพอลิเมอร์ที่ทำให้มันสามารถย่อยสลายได้ง่ายขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้มีการแยกพันธะเคมีบางอย่าง ซึ่งทำให้วัสดุมีความสามารถในการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์มากขึ้น 2. การเพิ่มการทำงานของเอนไซม์: กรดกัลลิกอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยสลายของพอลิเมอร์ โดยช่วยให้เอนไซม์เหล่านี้ทำงานได้ดีขึ้นในการทำลายโครงสร้างของฟิล์ม 3. การสนับสนุนการทำลายโดยจุลินทรีย์: กรดกัลลิกสามารถทำให้วัสดุมีสภาพที่เอื้อต่อการทำลายโดยจุลินทรีย์ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการย่อยสลายของฟิล์มชิทูซานในสภาพแวดล้อม โดยรวมแล้ว การใช้กรดกัลลิกในฟิล์มชิทูซานช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายของวัสดุ โดยการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและการสนับสนุนการทำงานของเอนไซม์และจุลินทรีย์ ทำให้วัสดุมีความยั่งยืนมากขึ้นและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

3


How does gallic acid impact the antimicrobial properties of packaging materials?

การตอบว่า "It has a synergistic effect with nanoparticles to enhance antimicrobial properties" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การเสริมฤทธิ์ร่วมกัน: กรดกัลลิกมีคุณสมบัติทางชีวภาพที่ช่วยต้านจุลินทรีย์ และเมื่อใช้ร่วมกับนาโนพาร์ติคเคิล (เช่น ซิลเวอร์นาโนพาร์ติคเคิล) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านจุลินทรีย์ที่แข็งแกร่ง จะทำให้การยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก การทำงานร่วมกันนี้สร้างผล synergistic ซึ่งหมายความว่าผลลัพธ์ที่ได้จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้กรดกัลลิกหรือนาโนพาร์ติคเคิลเพียงอย่างเดียว 2. การเพิ่มพื้นที่สัมผัส: กรดกัลลิกและนาโนพาร์ติคเคิลสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับจุลินทรีย์ ทำให้สามารถปล่อยสารต้านจุลินทรีย์ออกมาได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ดีขึ้น 3. การปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุ: การรวมกันของกรดกัลลิกและนาโนพาร์ติคเคิลช่วยปรับปรุงคุณสมบัติการต้านจุลินทรีย์ของวัสดุบรรจุภัณฑ์ ทำให้วัสดุสามารถปกป้องผลิตภัณฑ์จากการปนเปื้อนและช่วยยืดอายุการเก็บรักษา ดังนั้น การทำงานร่วมกันระหว่างกรดกัลลิกและนาโนพาร์ติคเคิลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัสดุบรรจุภัณฑ์ในการต้านจุลินทรีย์และรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่บรรจุได้ดีขึ้น การทำงานร่วมกันระหว่างกรดกัลลิก (Gallic acid) และนาโนพาร์ติคเคิล (Nanoparticles) 1. กลไกการทำงานร่วมกัน: กรดกัลลิกมีคุณสมบัติทางชีวภาพในการต้านจุลินทรีย์ที่ดี ในขณะที่นาโนพาร์ติคเคิล เช่น ซิลเวอร์นาโนพาร์ติคเคิล (silver nanoparticles) หรือทองคำนาโนพาร์ติคเคิล (gold nanoparticles) มีฤทธิ์ในการต้านจุลินทรีย์ที่สูง การรวมกันของทั้งสองสามารถสร้างผล synergistic ซึ่งหมายความว่าผลรวมของการทำงานร่วมกันนั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้แต่ละส่วนผสมเพียงอย่างเดียว 2. การเสริมฤทธิ์: กรดกัลลิกและนาโนพาร์ติคเคิลสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัสกับจุลินทรีย์ ซึ่งช่วยในการเพิ่มการปล่อยสารต้านจุลินทรีย์และเสริมฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ 3. การเพิ่มประสิทธิภาพ: การทำงานร่วมกันของกรดกัลลิกและนาโนพาร์ติคเคิลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัสดุบรรจุภัณฑ์ในการป้องกันการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ซึ่งช่วยยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์และลดความเสี่ยงจากการเกิดเชื้อโรค โดยรวมแล้ว ทฤษฎีหลักคิดคือการที่กรดกัลลิกและนาโนพาร์ติคเคิลทำงานร่วมกันเพื่อสร้างผล synergistic ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านจุลินทรีย์ของวัสดุบรรจุภัณฑ์ ทำให้วัสดุนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่บรรจุ. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

4


If gallic acid improves oxygen scavenging capacity by 120 mg O2 per gram, how much oxygen can 10 grams of gallic acid scavenge?

1200 mg O2

การตอบว่า "1200 mg O2" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การคำนวณตามอัตราส่วน: กรดกัลลิกสามารถกำจัดออกซิเจนได้ 120 มิลลิกรัม O2 ต่อกรัม ดังนั้น เมื่อต้องการคำนวณความสามารถในการกำจัดออกซิเจนของกรดกัลลิก 10 กรัม เราจึงคูณ 120 มิลลิกรัม O2 ต่อกรัมด้วย 10 กรัม 2. การคูณจำนวนกรัม: 120 mg O2/gram x 10 grams = 1200 mg O2 3. หน่วยที่ใช้: 1200 มิลลิกรัม O2 เป็นปริมาณที่สอดคล้องกับความสามารถในการกำจัดออกซิเจนทั้งหมดของกรดกัลลิก 10 กรัม ดังนั้น, การคำนวณที่ได้แสดงว่า 10 กรัมของกรดกัลลิกสามารถกำจัดออกซิเจนได้ 1200 มิลลิกรัม (หรือ 1.2 กรัม) ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง การคำนวณความสามารถในการกำจัดออกซิเจนของกรดกัลลิก 1. อัตราส่วนการกำจัดออกซิเจน: กรดกัลลิกมีความสามารถในการกำจัดออกซิเจนที่ 120 มิลลิกรัม O2 ต่อกรัม ซึ่งหมายความว่าแต่ละกรัมของกรดกัลลิกสามารถกำจัดออกซิเจนได้ 120 มิลลิกรัม 2. การคำนวณสำหรับปริมาณมากขึ้น: เมื่อต้องการคำนวณปริมาณออกซิเจนที่กรดกัลลิก 10 กรัมสามารถกำจัดได้ จำเป็นต้องคูณอัตราการกำจัดออกซิเจนต่อกรัมด้วยจำนวนกรัมที่มีอยู่ ดังนั้น: 120 mg O2/gram x 10 grams = 1200 mg O2 3. การรวมค่า: การคูณนี้ช่วยให้เข้าใจได้ว่ากรดกัลลิก 10 กรัมมีความสามารถในการกำจัดออกซิเจนรวมเป็น 1200 มิลลิกรัม (หรือ 1.2 กรัม) การใช้หลักการนี้ทำให้เราสามารถคำนวณและประเมินศักยภาพในการกำจัดออกซิเจนของกรดกัลลิกได้อย่างถูกต้อง โดยการใช้ข้อมูลอัตราการกำจัดออกซิเจนต่อกรัมและจำนวนกรัมที่มี. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

5


Given that adding gallic acid at 0.5% to a polymer increases its tensile strength by 15%, how much would the tensile strength increase if 2% gallic acid is added, assuming the relationship is linear?

60%

การตอบว่า "60%" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การคำนวณการเพิ่มขึ้นต่อ 1%: การเพิ่มของความแข็งแรงตามสัดส่วนของกรดกัลลิกที่ใช้สามารถคำนวณได้จากข้อมูลที่มี กล่าวคือการเพิ่มขึ้น 15% ต่อกรดกัลลิก 0.5% ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของความแข็งแรงต่อ 1% ของกรดกัลลิกคือ: การเพิ่มต่อ 1% = 15%/0.5 = 30% 2. การคำนวณสำหรับ 2% กรดกัลลิก: เมื่อเพิ่มกรดกัลลิก 2% ความแข็งแรงจะเพิ่มขึ้นตามอัตราส่วนที่ได้: การเพิ่มสำหรับ 2% = 30% x 2 = 60% การคำนวณนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อเพิ่มกรดกัลลิก 2% ความแข็งแรงของพอลิเมอร์จะเพิ่มขึ้น 60% โดยอิงจากความสัมพันธ์เชิงเส้น. การเพิ่มความแข็งแรงของพอลิเมอร์ตามสัดส่วนของกรดกัลลิก: 1. ความสัมพันธ์เชิงเส้น: หากการเพิ่มกรดกัลลิกมีผลเชิงเส้นกับความแข็งแรงของพอลิเมอร์ หมายความว่าความแข็งแรงจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของกรดกัลลิกที่เพิ่มเข้าไป ตัวอย่างเช่น การเพิ่ม 0.5% ของกรดกัลลิกทำให้ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น 15% 2. การคำนวณการเพิ่มขึ้นตามสัดส่วน: จากข้อมูลที่มี การเพิ่มความแข็งแรงต่อ 1% ของกรดกัลลิกคือ: การเพิ่มต่อ 1% = 15%/0.5 = 30% ซึ่งหมายความว่า การเพิ่มกรดกัลลิก 1% จะทำให้ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น 30% 3. การคำนวณสำหรับ 2% กรดกัลลิก: ด้วยการใช้ความสัมพันธ์เชิงเส้น การเพิ่มกรดกัลลิก 2% จะทำให้ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น: การเพิ่มสำหรับ 2% = 30% x 2 = 60% การใช้ทฤษฎีนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า ความแข็งแรงของพอลิเมอร์จะเพิ่มขึ้นตามอัตราส่วนของกรดกัลลิกที่ใช้ โดยสมมติว่าความสัมพันธ์เป็นเชิงเส้น, การคำนวณแสดงให้เห็นว่าการเพิ่มกรดกัลลิก 2% จะเพิ่มความแข็งแรงของพอลิเมอร์ได้ 60%. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

6


If the water vapor permeability of a packaging film decreases by 10% with each 0.1% increase in gallic acid content, what is the decrease in permeability when the content is increased from 0.1% to 0.5%?

40%

การตอบว่า "40%" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การคำนวณการเพิ่มขึ้นของเนื้อหากรดกัลลิก: การเพิ่มเนื้อหาของกรดกัลลิกจาก 0.1% เป็น 0.5% เป็นการเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งหมายความว่ามีการเพิ่มขึ้น 4 ช่วง 0.1% (0.4% / 0.1% = 4) 2. การลดความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำต่อ 0.1%: ตามที่ระบุว่าแต่ละ 0.1% ของกรดกัลลิกทำให้ความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำลดลง 10% ดังนั้น การเพิ่มกรดกัลลิก 0.4% จะทำให้ความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำลดลงทั้งหมด: การลดทั้งหมด = 10% x 4 = 40% 3. การนำเสนอผลลัพธ์: การคำนวณแสดงให้เห็นว่าเมื่อเพิ่มเนื้อหากรดกัลลิกจาก 0.1% เป็น 0.5% ความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำจะลดลง 40% โดยใช้การคำนวณที่มีพื้นฐานจากความสัมพันธ์เชิงเส้นและข้อมูลที่ให้มา การใช้หลักการนี้ทำให้การคำนวณการลดลงของความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำเป็นไปอย่างแม่นยำและสอดคล้องกับข้อมูลที่มี. การคำนวณการลดลงของความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำตามการเพิ่มเนื้อหาของกรดกัลลิก 1. ความสัมพันธ์เชิงเส้น: การลดลงของความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำมีความสัมพันธ์เชิงเส้นกับการเพิ่มเนื้อหาของกรดกัลลิก โดยการเพิ่มเนื้อหาของกรดกัลลิกแต่ละ 0.1% จะทำให้ความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำลดลง 10% 2. การคำนวณการเพิ่มขึ้นของเนื้อหาของกรดกัลลิก: จากการเพิ่มเนื้อหาของกรดกัลลิกจาก 0.1% เป็น 0.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งหมด 0.4% (0.5% - 0.1%) 3. การคำนวณจำนวนช่วง 0.1%: เนื่องจากแต่ละ 0.1% ของการเพิ่มกรดกัลลิกลดความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำ 10% การเพิ่มขึ้น 0.4% ของกรดกัลลิกเท่ากับการเพิ่มขึ้น 4 ช่วง 0.1% (0.4% / 0.1% = 4) 4. การคำนวณการลดทั้งหมด: ดังนั้นการลดความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำรวมทั้งหมดคือ: 10% x 4 = 40% การใช้หลักการนี้ช่วยให้เราคำนวณการลดลงของความสามารถในการซึมผ่านไอน้ำได้อย่างถูกต้องตามอัตราการเพิ่มกรดกัลลิกและความสัมพันธ์เชิงเส้นที่กำหนด. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

7


What is a significant benefit of using gallic acid in food packaging according to the article?

It significantly extends the shelf life of food products

การตอบว่า "It significantly extends the shelf life of food products" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. คุณสมบัติของกรดกัลลิก: ตามข้อมูลในบทความ, กรดกัลลิกมีความสามารถในการเพิ่มคุณสมบัติทางต้านจุลชีพ (antimicrobial properties) ของวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการเน่าเสีย 2. ผลกระทบต่ออายุการเก็บรักษา: การใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่มีกรดกัลลิกช่วยป้องกันการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและจุลชีพอื่นๆ ทำให้สามารถยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์อาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. การปรับปรุงความปลอดภัยของอาหาร: การยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพช่วยให้ผลิตภัณฑ์อาหารมีความปลอดภัยในการบริโภคและคงคุณภาพดีไปนานขึ้น การใช้กรดกัลลิกในบรรจุภัณฑ์อาหารจึงเป็นการเพิ่มอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์อาหารอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการรักษาคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร. การใช้กรดกัลลิกเพื่อเพิ่มอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์อาหาร 1. คุณสมบัติทางต้านจุลชีพ: กรดกัลลิกมีคุณสมบัติในการต้านจุลชีพซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและจุลชีพอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดการเน่าเสียของอาหาร การยับยั้งการเติบโตของจุลชีพช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ในอาหาร 2. การป้องกันการเน่าเสีย: การลดจำนวนจุลชีพที่ทำให้เกิดการเน่าเสียสามารถยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์อาหารได้ เนื่องจากการเติบโตของจุลชีพที่ช้าลงทำให้อาหารสามารถเก็บไว้ได้นานขึ้นก่อนที่จะเสื่อมสภาพ 3. การรักษาคุณภาพ: การเพิ่มกรดกัลลิกในบรรจุภัณฑ์ช่วยให้ผลิตภัณฑ์อาหารมีความปลอดภัยและคุณภาพดีต่อไปในระยะเวลานาน ทำให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง การนำกรดกัลลิกมาใช้ในวัสดุบรรจุภัณฑ์อาหารจึงมีผลดีในการยืดอายุการเก็บรักษาและรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหาร, ทำให้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความปลอดภัยและความยั่งยืนของอาหาร. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

8


Which of the following is not a property affected by gallic acid in food packaging materials?

Aroma of the food product

การตอบว่า "Aroma of the food product" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. คุณสมบัติของกรดกัลลิก: กรดกัลลิกมีการศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติต้านจุลชีพ (antimicrobial activity), การเพิ่มความสามารถในการจับออกซิเจน (oxygen scavenging capacity), การเพิ่มความแข็งแรงทางกล (tensile strength), และคุณสมบัติป้องกัน UV (UV barrier properties) ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลต่อการปกป้องและยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตภัณฑ์อาหาร 2. การไม่มีผลต่อกลิ่นของอาหาร: กรดกัลลิกไม่ส่งผลโดยตรงต่อกลิ่นของผลิตภัณฑ์อาหาร เพราะมันไม่ได้มีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลิ่นหรือลักษณะของอาหาร 3. การเน้นในบทความ: ข้อมูลจากบทความหรือการวิจัยมักจะเน้นผลกระทบที่สำคัญของกรดกัลลิกในด้านการต่อต้านจุลชีพ, การปกป้องจากออกซิเจน, การเพิ่มความแข็งแรง, และการป้องกัน UV โดยไม่เน้นผลกระทบต่อกลิ่นของอาหาร ดังนั้น, กลิ่นของผลิตภัณฑ์อาหารจึงเป็นคุณสมบัติที่ไม่ถูกกระทบโดยการเพิ่มกรดกัลลิกในวัสดุบรรจุภัณฑ์. การประเมินผลกระทบของกรดกัลลิกต่อคุณสมบัติต่าง ๆ ของวัสดุบรรจุภัณฑ์อาหาร 1. ผลกระทบที่ศึกษา: กรดกัลลิกมีผลกระทบที่ได้รับการศึกษาในด้านต่าง ๆ เช่น การต่อต้านจุลชีพ, การเพิ่มความสามารถในการจับออกซิเจน, การเพิ่มความแข็งแรงทางกล, และการป้องกัน UV ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญในการรักษาคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษาของอาหาร 2. ไม่ส่งผลต่อกลิ่น: กรดกัลลิกไม่ส่งผลโดยตรงต่อกลิ่นของอาหาร เนื่องจากการทำงานหลักของมันคือการปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและการเก็บรักษาอาหาร การเปลี่ยนแปลงกลิ่นของอาหารไม่เป็นคุณสมบัติที่กรดกัลลิกมีผลกระทบโดยตรง 3. การมุ่งเน้นในการวิจัย: การศึกษาคุณสมบัติของกรดกัลลิกมักจะเน้นผลกระทบที่สำคัญต่อการป้องกันและการยืดอายุของอาหาร เช่น การป้องกันจุลชีพและการจับออกซิเจน ซึ่งไม่ได้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในกลิ่นของอาหาร ด้วยเหตุนี้, กลิ่นของผลิตภัณฑ์อาหารจึงไม่เป็นคุณสมบัติที่ได้รับผลกระทบจากการใช้กรดกัลลิกในวัสดุบรรจุภัณฑ์. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

9


What sustainability challenge does gallic acid address when used in packaging?

Reducing plastic waste and enhancing biodegradability

การตอบว่า "Reducing plastic waste and enhancing biodegradability" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การเพิ่มความสามารถในการย่อยสลาย: กรดกัลลิกช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายของวัสดุบรรจุภัณฑ์ ซึ่งทำให้วัสดุนั้นสามารถย่อยสลายได้ง่ายขึ้นในสภาพแวดล้อม ลดปัญหาขยะพลาสติกที่ย่อยสลายได้ยากและสะสมในธรรมชาติ 2. การลดการใช้วัสดุที่ไม่ย่อยสลาย: การใช้กรดกัลลิกในการผลิตบรรจุภัณฑ์ช่วยให้สามารถลดการพึ่งพาวัสดุบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ย่อยสลาย ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในด้านสิ่งแวดล้อม 3. การปรับปรุงความยั่งยืน: โดยการเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายและลดขยะพลาสติก, การใช้กรดกัลลิกเป็นส่วนหนึ่งของวัสดุบรรจุภัณฑ์ช่วยในการพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืนมากขึ้นสำหรับการบรรจุภัณฑ์ การใช้กรดกัลลิกจึงมีบทบาทสำคัญในการลดขยะพลาสติกและปรับปรุงการย่อยสลาย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน. การใช้กรดกัลลิกเพื่อเพิ่มความยั่งยืนในวัสดุบรรจุภัณฑ์ 1. การเพิ่มความย่อยสลาย: กรดกัลลิกช่วยปรับปรุงความสามารถในการย่อยสลายของวัสดุบรรจุภัณฑ์ เช่น ชีทชาน (chitosan) ทำให้วัสดุนั้นย่อยสลายได้ดีขึ้นในธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่สะสมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 2. การลดการใช้วัสดุที่ไม่ย่อยสลาย: การใช้กรดกัลลิกช่วยให้สามารถใช้วัสดุบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติย่อยสลายได้ ซึ่งลดการพึ่งพาวัสดุที่ไม่ย่อยสลายและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3. การสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน: การเพิ่มความสามารถในการย่อยสลายของวัสดุบรรจุภัณฑ์ทำให้สามารถลดปริมาณขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมากขึ้นในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ การใช้กรดกัลลิกในวัสดุบรรจุภัณฑ์จึงมีบทบาทสำคัญในการลดขยะพลาสติกและเพิ่มความสามารถในการย่อยสลาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาการบรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

10


Which of the following is a future research direction for gallic acid mentioned in the article?

Exploring its pro-oxidative activities and interactions with food

การตอบว่า "Exploring its pro-oxidative activities and interactions with food" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การวิจัยเชิงลึก: ในบทความ, การวิจัยในอนาคตมักจะมุ่งเน้นไปที่การสำรวจกิจกรรมทางชีวภาพและปฏิกิริยาของกรดกัลลิกกับอาหาร ซึ่งรวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ของกิจกรรมที่อาจเกิดขึ้นจากการออกซิเดชัน (pro-oxidative activities) และผลกระทบที่อาจมีต่อคุณภาพของอาหาร 2. ความสำคัญต่อการพัฒนา: การศึกษาเกี่ยวกับกิจกรรมทางชีวภาพและปฏิกิริยากับอาหารจะช่วยให้เข้าใจผลกระทบที่เป็นไปได้ต่อความปลอดภัยและคุณภาพของอาหารที่ใช้กรดกัลลิก ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงการใช้กรดกัลลิกในบรรจุภัณฑ์อาหาร 3. เป้าหมายการวิจัยในอนาคต: การสำรวจด้านนี้ช่วยให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของกรดกัลลิกและพัฒนาการใช้งานที่ดีขึ้นในอนาคต รวมถึงการตรวจสอบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อคุณภาพของอาหาร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน ดังนั้น, การสำรวจกิจกรรมทางชีวภาพและปฏิกิริยาของกรดกัลลิกกับอาหารเป็นทิศทางการวิจัยในอนาคตที่สำคัญเพื่อเข้าใจและพัฒนาการใช้งานกรดกัลลิกในบรรจุภัณฑ์อาหารอย่างมีประสิทธิภาพ. การวิจัยและพัฒนาคุณสมบัติของกรดกัลลิกในบรรจุภัณฑ์อาหาร 1. การสำรวจกิจกรรมทางชีวภาพ: การศึกษากิจกรรมทางชีวภาพของกรดกัลลิก รวมถึงความสามารถในการออกซิเดชัน (pro-oxidative activities) และผลกระทบที่อาจมีต่ออาหาร ช่วยให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้กรดกัลลิกในบรรจุภัณฑ์อาหาร ซึ่งมีความสำคัญในการประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใช้งาน 2. การปรับปรุงประสิทธิภาพ: การวิจัยในด้านนี้ช่วยให้สามารถพัฒนาวิธีการใช้กรดกัลลิกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในบรรจุภัณฑ์อาหาร โดยการสำรวจการโต้ตอบกับอาหารและการประเมินผลกระทบจะช่วยในการปรับปรุงการออกแบบบรรจุภัณฑ์และการใช้งาน 3. การพัฒนาเทคโนโลยีที่ยั่งยืน: การเข้าใจและปรับปรุงคุณสมบัติของกรดกัลลิกในบริบทของบรรจุภัณฑ์อาหารช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ด้วยเหตุนี้ การสำรวจกิจกรรมทางชีวภาพและปฏิกิริยาของกรดกัลลิกกับอาหารจึงเป็นทิศทางการวิจัยที่สำคัญเพื่อพัฒนาความสามารถและความปลอดภัยของการใช้งานกรดกัลลิกในบรรจุภัณฑ์อาหาร. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

11


What is the primary reason CCUS is considered essential for achieving carbon neutrality in India by 2070?

To manage and reduce CO2 emissions from heavy industries.

การตอบว่า "To manage and reduce CO2 emissions from heavy industries" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. ความสำคัญของอุตสาหกรรมหนัก: อุตสาหกรรมหนัก เช่น การผลิตเหล็ก, ซีเมนต์, และพลังงานที่ใช้ถ่านหิน เป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หลักในอินเดีย การจัดการและลดการปล่อย CO2 จากแหล่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน 2. การใช้เทคโนโลยี CCUS: CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการจับและจัดเก็บ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้สามารถลดปริมาณ CO2 ที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. การบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน: สำหรับประเทศที่พึ่งพาพลังงานฟอสซิลและอุตสาหกรรมหนัก การใช้ CCUS เป็นวิธีสำคัญในการลดการปล่อย CO2 และช่วยในการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2070 โดยไม่ต้องหยุดใช้พลังงานฟอสซิลทั้งหมดในช่วงเวลาอันใกล้ ดังนั้น การจัดการและลดการปล่อย CO2 จากอุตสาหกรรมหนักด้วยเทคโนโลยี CCUS เป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนในอินเดีย. การลดการปล่อย CO2 จากอุตสาหกรรมหนักเป็นวิธีสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน 1. การปล่อย CO2 จากอุตสาหกรรมหนัก: อุตสาหกรรมหนัก เช่น การผลิตเหล็ก ซีเมนต์ และการใช้พลังงานจากฟอสซิล มีการปล่อย CO2 จำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการปล่อย CO2 จากแหล่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 2. เทคโนโลยี CCUS: เทคโนโลยีการจับและจัดเก็บคาร์บอน (CCUS) สามารถจับ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการอุตสาหกรรมและเก็บไว้ใต้ดินหรือใช้ในการผลิตสินค้าอื่น ๆ การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ช่วยในการลดการปล่อย CO2 สู่บรรยากาศ ซึ่งเป็นการจัดการที่มีประสิทธิภาพ 3. การบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน: เนื่องจากการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและการผลิตที่มีการปล่อย CO2 สูง การใช้เทคโนโลยี CCUS ช่วยให้สามารถลดการปล่อย CO2 ได้โดยไม่ต้องหยุดใช้พลังงานฟอสซิลทั้งหมด ซึ่งช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนได้ตามกำหนด การจัดการและลดการปล่อย CO2 จากอุตสาหกรรมหนักด้วยการใช้เทคโนโลยี CCUS จึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน โดยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยในการพัฒนาที่ยั่งยืน. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

12


According to the article, how does the Indian government aim to support the implementation of CCUS technology?

By providing subsidies and funding for CCUS research and development.

การตอบว่า "By providing subsidies and funding for CCUS research and development" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การสนับสนุนทางการเงิน: การให้เงินสนับสนุนและทุนวิจัยช่วยกระตุ้นให้มีการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS โดยลดต้นทุนเริ่มต้นและเพิ่มความสามารถในการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน 2. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา: การสนับสนุนในรูปแบบของการให้ทุนช่วยในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพในการใช้งานและลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง 3. การเร่งการนำไปใช้: การให้เงินสนับสนุนช่วยเร่งการนำ CCUS มาใช้จริงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อย CO2 และการเป็นกลางทางคาร์บอนตามที่กำหนด 4. การสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี: การให้เงินทุนช่วยให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถทำให้ CCUS มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยเหตุนี้ การให้ subsidies และการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี CCUS เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการเร่งการนำ CCUS มาใช้และช่วยในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อย CO2. การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา CCUS ผ่านการให้ทุนและเงินสนับสนุนเพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีมาใช้ 1. การลดต้นทุนเริ่มต้น: การให้ทุนและการสนับสนุนทางการเงินช่วยลดต้นทุนเริ่มต้นในการพัฒนาและติดตั้งเทคโนโลยี CCUS ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ช้าลง 2. การกระตุ้นการลงทุน: การสนับสนุนทางการเงินกระตุ้นให้ภาคเอกชนและสถาบันวิจัยลงทุนในเทคโนโลยี CCUS โดยเพิ่มความสามารถในการดำเนินโครงการและลดความเสี่ยงทางการเงิน 3. การเร่งการพัฒนาเทคโนโลยี: เงินสนับสนุนช่วยให้การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ก้าวหน้าเร็วขึ้น โดยทำให้มีทรัพยากรสำหรับการทดลองและการปรับปรุงเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้น 4. การเพิ่มโอกาสในการนำไปใช้: การสนับสนุนทางการเงินทำให้เทคโนโลยี CCUS สามารถนำไปใช้ได้เร็วขึ้นในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งช่วยในการลดการปล่อย CO2 และบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน การให้ subsidies และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา CCUS จึงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการเร่งการนำเทคโนโลยีมาใช้และสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศ. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

13


What are the anticipated benefits of integrating CCUS technology in thermal power plants by 2030?

Significant reduction in CO2 emissions contributing to decarbonization goals.

การตอบว่า "Significant reduction in CO2 emissions contributing to decarbonization goals" เป็นการตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การลดการปล่อย CO2: เทคโนโลยี CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) ถูกออกแบบมาเพื่อจับ CO2 ที่ปล่อยออกมาจากแหล่งการผลิตพลังงาน เช่น โรงไฟฟ้าพลังความร้อน และจัดเก็บหรือใช้ CO2 นั้น เพื่อลดปริมาณ CO2 ที่ปล่อยเข้าสู่บรรยากาศ 2. การสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน: โดยการลดการปล่อย CO2 ลงอย่างมาก เทคโนโลยี CCUS ช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนและสนับสนุนความพยายามในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3. การลดการปล่อย CO2 ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด: CCUS สามารถลดการปล่อย CO2 ได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่สามารถขจัดการปล่อย CO2 ได้ทั้งหมด การใช้เทคโนโลยีนี้ช่วยให้สามารถลดการปล่อย CO2 ในระดับที่สำคัญ ซึ่งเป็นการช่วยให้บรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน 4. การมีส่วนร่วมในเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน: การบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อย CO2 มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลดการปล่อย CO2 จากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์นี้ ดังนั้น การลดการปล่อย CO2 อย่างมีนัยสำคัญช่วยในการสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนและการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอนเป็นประโยชน์หลักในการใช้เทคโนโลยี CCUS. การลดการปล่อย CO2 เป็นเป้าหมายหลักของการใช้เทคโนโลยี CCUS เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนและการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน 1. การลดการปล่อย CO2: เทคโนโลยี CCUS มีบทบาทสำคัญในการจับและจัดเก็บ CO2 ที่ปล่อยออกจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ซึ่งเป็นแหล่งปล่อย CO2 ขนาดใหญ่ โดยการลดปริมาณ CO2 ที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศอย่างมีนัยสำคัญ 2. การสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอน: การลดการปล่อย CO2 ช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนที่ตั้งไว้ในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3. การลดการปล่อย CO2 ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด: แม้ว่า CCUS จะลดการปล่อย CO2 ได้อย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถขจัด CO2 ออกจากการปล่อยได้ทั้งหมด การลดการปล่อย CO2 โดยใช้เทคโนโลยีนี้จึงช่วยให้มีการลดการปล่อย CO2 อย่างมีนัยสำคัญซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน 4. การเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลดการปล่อยคาร์บอน: การลดการปล่อย CO2 ด้วยเทคโนโลยี CCUS เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งช่วยให้การจัดการ CO2 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนในระดับโลก การลดการปล่อย CO2 อย่างมีนัยสำคัญจากการใช้เทคโนโลยี CCUS เป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนและการบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

14


If a CCUS facility captures 2 million metric tonnes of CO2 annually from a power plant, how much CO2 is captured in 5 years?

10 million metric tonnes

การตอบว่า 10 million metric tonnes เป็นคำตอบที่ถูกต้องเนื่องจาก: 1. การคำนวณจำนวน CO2 ที่จับได้: จำนวน CO2 ที่จับได้ต่อปีคือ 2 ล้านเมตริกตัน การคำนวณจำนวนรวมของ CO2 ที่จับได้ใน 5 ปีต้องนำจำนวน CO2 ต่อปีมาคูณกับจำนวนปี Total CO2 captured = 2,000,000 metric tonnes/year x 5 years = 10,000,000 metric tones 2. การคูณอย่างถูกต้อง: คูณจำนวน CO2 ที่จับได้ต่อปี (2 ล้านเมตริกตัน) ด้วยจำนวนปี (5 ปี) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์รวมเป็น 10 ล้านเมตริกตัน 3. การตรวจสอบคำตอบ: ตัวเลือกที่ให้มามี 10 ล้านเมตริกตันเป็นผลลัพธ์ที่ถูกต้องจากการคำนวณและเป็นการสะท้อนจำนวน CO2 ที่จับได้ทั้งหมดในช่วงเวลา 5 ปี การใช้การคำนวณที่ถูกต้องเพื่อหาจำนวนรวมของ CO2 ที่จับได้ในช่วงเวลาที่กำหนดเป็นวิธีที่ช่วยให้ได้คำตอบที่แม่นยำที่สุด. การคูณเพื่อหาผลรวม: การคำนวณจำนวน CO2 ที่จับได้ทั้งหมดจากการจับ CO2 ประจำปีในช่วงเวลาที่กำหนดสามารถใช้หลักการคูณเพื่อหาผลรวมได้ โดย: 1. การคำนวณพื้นฐาน: จำนวน CO2 ที่จับได้ต่อปี (2 ล้านเมตริกตัน) คูณด้วยจำนวนปี (5 ปี) ให้ผลลัพธ์เป็นจำนวน CO2 ที่จับได้ทั้งหมดในช่วง 5 ปี Total CO2 captured = Annual CO2 capture x Number of years 2. การใช้การคูณในสถานการณ์นี้: ในกรณีนี้ จำนวน CO2 ที่จับได้ต่อปีมีค่า 2 ล้านเมตริกตัน และจำนวนปีที่พิจารณาคือ 5 ปี การคูณจำนวน CO2 ต่อปีด้วยจำนวนปีจะให้ผลลัพธ์เป็น 10 ล้านเมตริกตัน 3. การยืนยันผลลัพธ์: ผลลัพธ์จากการคำนวณสามารถตรวจสอบได้ว่าตรงกับตัวเลือกที่ให้มา ซึ่งยืนยันได้ว่า 10 ล้านเมตริกตันเป็นคำตอบที่ถูกต้อง การใช้หลักการคูณในการคำนวณเช่นนี้ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและชัดเจนเกี่ยวกับจำนวน CO2 ที่จับได้ทั้งหมดในช่วงเวลาที่กำหนด. 7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

15


Given the current rate of CO2 emissions reduction targets, if India needs to reduce emissions by 50% by 2050 from a baseline of 3 billion metric tonnes, what will be the target emissions per year by 2050?

1.5 billion metric tonnes

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

16


If CO2 emissions from the power sector are reduced by 25% from an initial value of 1200 mtpa due to CCUS, what are the new emission levels?

900 mtpa

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

17


What is the main driver for the adoption of CCUS technology in India?

To meet international climate agreements.

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

18


What sector is anticipated to benefit most from CCUS according to the article?

Heavy industry

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

19


Which technology is critical for achieving India's climate goals according to the article?

Carbon capture, utilization, and storage

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

20


What is the expected impact of CCUS on India's CO2 emissions by 2050?

Decrease by 50%

7

-.50 -.25 +.25 เต็ม 0 -35% +30% +35%

ผลคะแนน 103.85 เต็ม 140

แท๊ก หลักคิด
แท๊ก อธิบาย
แท๊ก ภาษา