1 |
What is hybrid micellar liquid chromatography primarily used for in the study?
|
To detect commonly used pesticides in vegetables. |
|
Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) เป็นเทคนิคที่ใช้ในการตรวจวิเคราะห์สารกำจัดศัตรูพืช (Pesticides) ในพืชผัก โดยเฉพาะสารที่ใช้กันทั่วไปในกระบวนการเพาะปลูกผักใบเขียว เทคนิคนี้ช่วยในการแยกและระบุสารประกอบทางเคมีที่มีความซับซ้อนในตัวอย่างผักได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
|
Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) เป็นส่วนหนึ่งของ Green Analytical Chemistry ซึ่งช่วยลดการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายในการวิเคราะห์ตัวอย่าง โดยเทคนิคนี้ใช้ micellar mobile phase ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการตรวจหาสารตกค้างในพืชผัก เช่น สารกำจัดศัตรูพืชที่พบในผักใบเขียว สามารถอ้างอิงจากงานวิจัยใน ScienceDirect และแนวทาง Green Analytical Chemistry |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
2 |
Which pesticide was found most commonly in the vegetable samples?
|
Chlorpyrifos |
|
จากการศึกษา Chlorpyrifos เป็นสารกำจัดศัตรูพืชที่พบได้บ่อยที่สุดในตัวอย่างผัก เนื่องจากถูกใช้อย่างแพร่หลายในกระบวนการเกษตรเพื่อป้องกันแมลงและศัตรูพืช โดยเฉพาะในพืชผักใบเขียว เช่น ผักคะน้าและผักบุ้ง แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูพืช แต่ Chlorpyrifos ยังเป็นสารที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์ เช่น มีผลกระทบต่อระบบประสาท และในบางประเทศมีการควบคุมหรือห้ามใช้สารนี้แล้ว |
ในหลักเคมีวิเคราะห์ (Analytical Chemistry) และการตรวจสอบสารตกค้างทางการเกษตร เทคนิค Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) สามารถตรวจสอบและระบุสารกำจัดศัตรูพืช เช่น Chlorpyrifos ได้อย่างแม่นยำ
การใช้ Chlorpyrifos อย่างไม่ระมัดระวังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการใช้สารนี้
เเละ อ้างอิงจากงานวิจัยด้านความปลอดภัยทางอาหารและบทความใน ScienceDirect |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
3 |
What percentage of the vegetable samples tested were found to contain no detectable pesticides?
|
12% |
|
จากการศึกษาตัวอย่างผัก พบว่า 12% ของตัวอย่างผักไม่มีการตรวจพบสารกำจัดศัตรูพืช (Pesticides) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผักบางส่วนปลอดภัยจากการปนเปื้อนสารเคมี อย่างไรก็ตาม ส่วนที่เหลือยังมีสารตกค้างที่ต้องเฝ้าระวัง โดยการตรวจสอบสารกำจัดศัตรูพืชในตัวอย่างผักจึงมีความสำคัญในการประเมินความปลอดภัยของอาหารและป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค |
การตรวจวิเคราะห์สารกำจัดศัตรูพืชในตัวอย่างผักใช้เทคนิค Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) ซึ่งสามารถตรวจจับสารเคมีได้อย่างแม่นยำในระดับต่ำมาก โดยอิงตามหลักการของ Green Analytical Chemistry ที่ช่วยลดการใช้สารเคมีในการวิเคราะห์และรักษาสิ่งแวดล้อม อ้างอิงจากบทความใน ScienceDirect และงานวิจัยด้านความปลอดภัยของอาหาร |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
4 |
Which of the following is NOT a reason for the use of hybrid micellar liquid chromatography (HMLC)?
|
It requires extensive solvent use. |
|
Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) ถูกออกแบบให้เป็นเทคนิคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งใช้ micellar mobile phase แทนตัวทำละลายอินทรีย์ที่เป็นอันตราย จึงไม่จำเป็นต้องใช้สารละลาย (solvent) ในปริมาณมาก
ข้อดีหลักของ HMLC คือ
1. เป็นวิธีการวิเคราะห์แบบ Green Analytical Chemistry
2. ใช้สารเคมีที่เป็นพิษในปริมาณต่ำ
3. ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีความแม่นยำสูง |
เทคนิค HMLC ใช้สารประกอบไมเซลล์ที่เป็นน้ำในการวิเคราะห์ ทำให้ลดการใช้ตัวทำละลายที่มีความเป็นพิษและราคาแพงได้อย่างมาก ต่างจากเทคนิคโครมาโตกราฟีทั่วไปที่มักต้องใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ในปริมาณมาก อ้างอิงได้จาก ScienceDirect และงานวิจัยเกี่ยวกับ Green Analytical Chemistry |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
5 |
What was the primary methodological change in the HMLC technique used in the study?
|
Use of a micellar mobile phase with reduced solvent usage. |
|
ในเทคนิค Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) การเปลี่ยนแปลงหลักคือ การใช้ Micellar Mobile Phase ซึ่งช่วยลดปริมาณตัวทำละลายอินทรีย์ที่มีความเป็นพิษและลดต้นทุนการใช้งาน ทำให้กระบวนการนี้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและสอดคล้องกับแนวคิด Green Analytical Chemistry |
Micellar Mobile Phase ประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิว (Surfactants) ที่สร้างไมเซลล์ในน้ำ ทำให้สามารถละลายสารประกอบอินทรีย์ได้ดีโดยไม่ต้องพึ่งตัวทำละลายอินทรีย์มากเหมือนเทคนิค HPLC แบบดั้งเดิม เทคนิคนี้ช่วยลดการใช้สารพิษและเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ
อ้างอิงจากงานวิจัยใน ScienceDirect และบทความเกี่ยวกับการพัฒนาเทคนิคการวิเคราะห์สมัยใหม่ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
6 |
According to the study, why might vegetable growers prefer other pesticides over Imidacloprid (ICP)?
|
ICP has a higher environmental impact. |
|
Imidacloprid (ICP) เป็นสารกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพสูง แต่มีรายงานว่า ส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในระดับสูง โดยเฉพาะต่อแมลงผสมเกสร เช่น ผึ้ง และยังสามารถปนเปื้อนในดินและแหล่งน้ำ ซึ่งส่งผลต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนี้ เกษตรกรบางส่วนจึงเลือกใช้สารกำจัดแมลงชนิดอื่นที่มีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า |
Imidacloprid จัดอยู่ในกลุ่ม neonicotinoids ซึ่งมีรายงานเกี่ยวกับผลกระทบเชิงลบต่อแมลงผสมเกสรและสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ หน่วยงานกำกับดูแลในบางประเทศ เช่น สหภาพยุโรป (EU) ได้กำหนดข้อจำกัดในการใช้สารชนิดนี้เพื่อลดความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม โดยอ้างอิงจากบทความด้านพิษวิทยาสิ่งแวดล้อมและงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของ Imidacloprid ใน ScienceDirect |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
7 |
What is the major benefit of using ICP as a pesticide, according to the study?
|
It is more effective than any other pesticide. |
|
Imidacloprid (ICP) ได้รับการยอมรับว่าเป็นสารกำจัดศัตรูพืชที่มีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมแมลง โดยเฉพาะแมลงดูดน้ำเลี้ยง เช่น เพลี้ย และแมลงหวี่ขาว ซึ่งสารชนิดอื่นอาจควบคุมได้ยาก ความสามารถในการออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วและมีระยะเวลาในการปกป้องพืชยาวนาน ทำให้เกษตรกรยังคงเลือกใช้ ICP แม้จะมีความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมก็ตาม |
Imidacloprid เป็นสารในกลุ่ม Neonicotinoids ที่มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับนิโคติน ซึ่งออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของระบบประสาทในแมลง ส่งผลให้แมลงตายอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับสารกำจัดศัตรูพืชชนิดอื่น ICP จึงถือว่า มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการป้องกันและกำจัดแมลงหลายชนิดในพืชผัก อ้างอิงจากรายงานการวิจัยด้านสารกำจัดศัตรูพืชและบทความใน ScienceDirect |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
8 |
What aspect of the pesticide detection method was focused on during the method validation phase?
|
Ensuring it can detect extremely low pesticide levels. |
|
ในขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องของวิธีการ (Method Validation Phase) สิ่งที่เน้นมากที่สุดคือ การตรวจสอบว่าวิธีการสามารถตรวจจับระดับสารกำจัดศัตรูพืชที่ต่ำมากได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถตรวจหาสารตกค้างในระดับที่ปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานสากล การตรวจจับระดับต่ำเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับรองความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะในผักใบเขียวที่มีแนวโน้มปนเปื้อนสูง |
เทคนิค Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความไวในการตรวจสอบสารกำจัดศัตรูพืชในระดับต่ำมาก โดยการใช้ micellar mobile phase ช่วยลดสัญญาณรบกวนและเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ อ้างอิงจากบทความวิจัยใน ScienceDirect และมาตรฐานของ FAO/WHO ด้านความปลอดภัยอาหาร |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
9 |
Considering the environmental impacts discussed, why is the HMLC method considered 'green'?
|
It involves less waste and uses low-toxicity solvents. |
|
Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) ได้รับการพิจารณาว่าเป็น เทคนิคสีเขียว (Green Analytical Method) เพราะช่วยลดของเสียและใช้ตัวทำละลายที่มีความเป็นพิษต่ำมากเมื่อเทียบกับเทคนิคโครมาโตกราฟีแบบดั้งเดิม เช่น High-Performance Liquid Chromatography (HPLC) ที่ต้องใช้สารอินทรีย์ในปริมาณมากข้อดีนี้ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและปรับปรุงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ
|
หลักการของ Green Analytical Chemistry มุ่งเน้นการลดการใช้สารเคมีอันตรายและการผลิตของเสียในกระบวนการวิเคราะห์ โดย HMLC เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ micellar mobile phase ซึ่งมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลักแทนตัวทำละลายอินทรีย์ที่มีความเป็นพิษสูง สามารถอ้างอิงจากงานวิจัยใน ScienceDirect และแนวทาง Green Chemistry |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
10 |
What is the importance of the photodiode array detector in the HMLC technique used in the study?
|
It detects the presence of pesticides across a spectrum of wavelengths. |
|
Photodiode Array Detector (PDA) ในเทคนิค Hybrid Micellar Liquid Chromatography (HMLC) มีความสำคัญในการตรวจจับสารกำจัดศัตรูพืชในช่วงความยาวคลื่นที่หลากหลาย (UV-Vis Spectrum) ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำสูงและสามารถตรวจสอบสารประกอบหลายชนิดพร้อมกันได้
การใช้ PDA ทำให้สามารถวิเคราะห์สารตกค้างที่ซับซ้อนในตัวอย่างผักได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดโอกาสในการพลาดสารสำคัญที่อาจปนเปื้อน |
PDA ทำหน้าที่ตรวจวัดการดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่นที่กว้าง ทำให้สามารถตรวจสอบสารประกอบหลายชนิดได้พร้อมกันในตัวอย่างเดียว โดยอาศัยหลักการของ Beer-Lambert’s Law ในการประเมินความเข้มข้นของสาร การตรวจวัดแบบหลายช่วงความยาวคลื่นนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการแยกแยะสารตกค้างจากสารอื่นในตัวอย่าง อ้างอิงจากบทความวิจัยใน ScienceDirect และการประยุกต์ใช้ใน Green Analytical Chemistry |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
11 |
What is hyperthermia commonly used to treat?
|
Cancer |
|
Hyperthermia หรือการเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายเป็นเทคนิคที่ใช้ในการรักษา มะเร็ง (Cancer Therapy) โดยการเพิ่มอุณหภูมิในบริเวณที่เป็นเนื้อร้าย ทำให้เซลล์มะเร็งมีความไวต่อการรักษาด้วยรังสีและยาเคมีบำบัดมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโดยรวม การรักษาด้วยวิธีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่ยังช่วยเสริมกระบวนการรักษาแบบอื่นอีกด้วย |
หลักการของ Hyperthermia คือการเพิ่มอุณหภูมิในเนื้อเยื่อเป้าหมายให้สูงขึ้นประมาณ 40-45°C ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้จะทำให้เซลล์มะเร็งเสียหายหรือถูกทำลาย ในขณะที่เซลล์ปกติได้รับผลกระทบน้อยมากการศึกษาทางคลินิก พบว่า Hyperthermia ช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับ โดยอ้างอิงจากงานวิจัยเกี่ยวกับ Cancer Therapy and Hyperthermia ใน ScienceDirect |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
12 |
Which method is used to apply heat directly to a tumor in local hyperthermia?
|
Microwaves |
|
ใน Local Hyperthermia วิธีการหลักที่ใช้ในการส่งความร้อนตรงไปยังเนื้องอกคือ Microwave Therapy ซึ่งมีความสามารถในการเพิ่มอุณหภูมิในเนื้อเยื่อเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยการใช้คลื่นไมโครเวฟที่ความถี่สูงทำให้เกิดการสะสมความร้อนในเนื้อเยื่อที่ต้องการรักษา เทคนิคนี้มักใช้ในการรักษาเนื้องอกที่อยู่ลึกและต้องการความแม่นยำสูง เช่น มะเร็งตับและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ |
Microwave Hyperthermia เป็นส่วนหนึ่งของเทคนิค Local Hyperthermia ที่สามารถเพิ่มอุณหภูมิของเนื้อเยื่อได้ถึง 40-45°C เพื่อยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อปกติใกล้เคียง สามารถอ้างอิงจากงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษา Cancer Hyperthermia Therapy และบทความใน ScienceDirect |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
13 |
What is the primary benefit of using hyperthermia in cancer treatment?
|
It kills cancer cells with minimal damage to normal cells. |
|
Hyperthermia ในการรักษามะเร็งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งโดยการเพิ่มอุณหภูมิในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นเนื้องอก โดยไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเซลล์ปกติรอบข้าง นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญเมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น เช่น เคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด ซึ่งอาจทำลายเซลล์ปกติได้มากกว่า
เทคนิคนี้จึงถูกใช้เป็นวิธีเสริมร่วมกับการรักษาแบบอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเซลล์มะเร็งและลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการรักษา |
Hyperthermia ทำให้เซลล์มะเร็งไวต่อการทำลายมากขึ้น เนื่องจากเซลล์มะเร็งไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิที่สูงได้เหมือนเซลล์ปกติ โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 40-45°C ซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างโปรตีนในเซลล์มะเร็งเปลี่ยนแปลงและนำไปสู่การตายของเซลล์ อ้างอิงมาจากบทความใน ScienceDirect และงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับการรักษาด้วย Hyperthermia |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
14 |
Hyperthermia is often used in combination with which of the following treatments?
|
Radiotherapy and chemotherapy |
|
Hyperthermia มักถูกใช้ร่วมกับการรักษาด้วย Radiotherapy (การฉายรังสี) และ Chemotherapy (เคมีบำบัด) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา โดยการเพิ่มอุณหภูมิในเนื้อเยื่อเป้าหมายทำให้เซลล์มะเร็งมีความไวต่อการฉายรังสีและยาเคมีบำบัดมากขึ้น ส่งผลให้สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น
การรักษาแบบผสมผสานนี้ช่วยลดขนาดของเนื้องอกและเพิ่มโอกาสในการควบคุมโรคได้ดียิ่งขึ้น |
หลักการคือการเพิ่มอุณหภูมิของเซลล์มะเร็งให้อยู่ในช่วง 40-45°C ซึ่งจะทำให้เซลล์มะเร็งสูญเสียความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองหลังจากได้รับรังสีหรือสารเคมี โดยมีการศึกษาวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า Hyperthermia ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการฉายรังสีได้มากถึง 30-50% ในผู้ป่วยบางประเภท อ้างอิงมาจากบทความใน ScienceDirect และงานวิจัยด้านการรักษามะเร็ง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
15 |
What is the main challenge of using hyperthermia in cancer treatment?
|
Reaching and maintaining the required temperature in the target area. |
|
หนึ่งในความท้าทายหลักของการใช้ Hyperthermia ในการรักษามะเร็งคือการ รักษาอุณหภูมิให้คงที่ในบริเวณเป้าหมายโดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อปกติ การเพิ่มอุณหภูมิที่ไม่สม่ำเสมอหรือสูงเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือหากอุณหภูมิต่ำเกินไปจะไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความแม่นยำจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ Hyperthermia เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิผลสูงสุด |
การควบคุมอุณหภูมิในช่วง 40-45°C เป็นสิ่งจำเป็นต่อประสิทธิภาพของ Hyperthermia และต้องใช้ Advanced Monitoring Systems เช่น MRI และ Ultrasound เพื่อระบุอุณหภูมิแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อกระจายความร้อนให้ทั่วถึงยังคงเป็นประเด็นที่ต้องปรับปรุงในการรักษา สามารถอ้างอิงจากบทความใน ScienceDirect และงานวิจัยเกี่ยวกับ Hyperthermia Therapy ในการรักษามะเร็ง |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
16 |
Which type of hyperthermia involves heating a larger region or the whole body?
|
Whole-body hyperthermia |
|
Whole-Body Hyperthermia เป็นการเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายทั้งหมดเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและช่วยในการทำลายเซลล์มะเร็งในร่างกายที่อาจกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจาก Local Hyperthermia หรือ Regional Hyperthermia ที่มุ่งเน้นในบริเวณเฉพาะ |
การใช้ Whole-Body Hyperthermia ในการรักษาเป็นการจำลองไข้เพื่อกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด โดยใช้อุปกรณ์ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิทั้งร่างกายให้อยู่ในช่วง 39-42°C เเละ อ้างอิงจากบทความใน ScienceDirect และงานวิจัยเกี่ยวกับการรักษาด้วย Hyperthermia Therapy |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
17 |
What type of hyperthermia uses applicators inserted into or near a body cavity to deliver heat?
|
Endocavitary hyperthermia |
|
Endocavitary Hyperthermia เป็นการใช้ applicator เพื่อให้ความร้อนในโพรงอวัยวะภายในหรือใกล้กับโพรง เช่น ในช่องท้องหรือทวารหนัก โดยเทคนิคนี้ช่วยให้ความร้อนเข้าสู่เนื้อเยื่อบริเวณเป้าหมายได้โดยตรง |
Endocavitary Hyperthermia เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเฉพาะจุดที่ใช้ Invasive Applicators ในการส่งผ่านความร้อนเข้าไปในโพรงร่างกาย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา โดยมักใช้ร่วมกับการบำบัดแบบรังสีรักษาหรือเคมีบำบัด โดยอ้างอิงจากวารสารทางการแพทย์เกี่ยวกับ Oncological Hyperthermia Techniques |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
18 |
What is a significant potential side effect of whole-body hyperthermia?
|
Systemic stress affecting major organs |
|
Whole-body hyperthermia อาจส่งผลข้างเคียงที่รุนแรง เนื่องจากการเพิ่มอุณหภูมิทั่วร่างกายอาจทำให้เกิดความเครียดต่อระบบอวัยวะหลัก เช่น หัวใจ ปอด และไต ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจ |
หลักการของ Whole-body hyperthermia คือการเพิ่มอุณหภูมิร่างกายเพื่อเสริมประสิทธิภาพการรักษามะเร็ง แต่การเพิ่มอุณหภูมิมากเกินไปอาจทำให้เกิด systemic stress ต่ออวัยวะหลัก และมีการศึกษาในวารสารทางการแพทย์ระบุถึงผลข้างเคียงเหล่านี้อย่างชัดเจน |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
19 |
Considering the physics of heat transfer, why is controlling hyperthermia challenging during treatment?
|
Heat is easily lost to the environment through convection. |
|
ในระหว่างการรักษาด้วย hyperthermia ความร้อนสามารถสูญเสียไปในสภาพแวดล้อมผ่านกระบวนการพาความร้อน (convection) ได้ง่าย ซึ่งเป็นความท้าทายหลักในการควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ในพื้นที่เป้าหมายที่ต้องการรักษา |
หลักฟิสิกส์ว่าด้วยการถ่ายโอนความร้อน (Heat Transfer) โดยเฉพาะการพาความร้อน (convection) มีบทบาทสำคัญในการลดประสิทธิภาพของ hyperthermia การจัดการกับการสูญเสียความร้อนนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาจะมีประสิทธิภาพตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|
20 |
Why is hyperthermia considered a beneficial adjunct to radiotherapy and chemotherapy?
|
It makes cancer cells more susceptible to other treatments. |
|
Hyperthermia ช่วยเพิ่มความไวของเซลล์มะเร็งต่อการรักษาด้วยรังสีและเคมีบำบัด (radiotherapy และ chemotherapy) โดยทำให้เซลล์มะเร็งเสียหายได้ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาเดิม |
หลักการของ hyperthermia คือการเพิ่มอุณหภูมิของเนื้อเยื่อ ซึ่งทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลงและตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นได้ดียิ่งขึ้น การใช้ hyperthermia ควบคู่กับการรักษาดังกล่าวจึงช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการกำจัดเซลล์มะเร็งได้อย่างมีนัยสำคัญ |
7 |
-.50
-.25
+.25
เต็ม
0
-35%
+30%
+35%
|